นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมเบื้องต้นที่ราคา 22.00-25.00 บาทต่อหุ้น และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยได้จองซื้อหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2561 ที่ราคา 25.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น พบว่านักลงทุนทั่วไปให้การตอบรับเป็นอย่างดีมาก ซึ่งการตอบรับดังกล่าว เกิดจากการที่นักลงทุนมองว่า OSP เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และมีแบรนด์สินค้าที่เป็นผู้นำตลาด มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีความแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า จากผลการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมากและได้แสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 25.00 บาท จึงได้กำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นสามัญที่ราคาหุ้นละ 25.00 บาท โดยบริษัทฯ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย จะจัดสรรหุ้น OSP ให้แก่นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนรวม 419.9 ล้านหุ้น หรือประมาณร้อยละ 69.5 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้
นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวว่า "บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ในฐานะที่บริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและมีนวัตกรรมที่ทันสมัย ภายใต้วิสัยทัศน์ 'พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต' (The Power to Enhance Life) โดยมุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯให้เป็นองค์กรที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและสังคมด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ทันสมัย
ด้วยเงินจากการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ประมาณ 12,669 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้ขยายธุรกิจต่อยอดจากความแข็งแกร่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะการลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมาร์ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ รองจากธุรกิจในประเทศไทย และจะเป็นธุรกิจหลักธุรกิจหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างมูลค่าให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอนาคต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว"
หมายเหตุ
เอกสารนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นใด หุ้นสามัญของบริษัทฯ ยังไม่ได้จดทะเบียนและจะไม่ได้รับการจดทะเบียนภายใต้ U.S. Securities Act of 1933 ของประเทศสหรัฐอเมริกา และจะไม่มีการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกาหากไม่มีการจดทะเบียนหรือได้รับการยกเว้นการจดทะเบียนภายใต้ U.S. Securities Act of 1933 ทั้งนี้ จะไม่มีการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปในประเทศสหรัฐอเมริกา