นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า กลุ่มทิสโก้ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 5,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 722 ล้านบาท หรือเติบโต 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิจำนวน1,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 242 ล้านบาท หรือ เติบโต 15.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักในการขยายตัวมาจากความสามารถในการสร้างรายได้จากทุกภาคธุรกิจ และความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มทิสโก้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
ในไตรมาสนี้ ผลกำไรเติบโตจากรายได้จากธุรกิจหลัก ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) และค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุน ประกอบกับมีการรับรู้รายได้พิเศษระหว่างไตรมาส ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 9.0% ขณะเดียวกันยังมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 22.6% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 สูงถึง 17.6%
ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 กลุ่มทิสโก้ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเน้นการให้บริการอย่างผู้เชี่ยวชาญและให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ Market Conduct ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเน้นประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายใต้การบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น
สรุปผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 และผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2561
ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้งวดไตรมาส 3 ปี 2561 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,815ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% จากการปรับตัวดีขึ้น ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.2% จากความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 9.0% จากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจนายหน้าประกันภัย ประกอบกับมีการรับรู้รายได้พิเศษระหว่างไตรมาส กลุ่มทิสโก้ยังคงรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ในระดับต่ำที่ 43.8% ประกอบกับการตั้งสำรองหนี้สูญอย่างระมัดระวังเพื่อรองรับความผันผวนทางธุรกิจ
ในส่วนของผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิมีจำนวน 5,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% จากการเติบโตของทุกภาคธุรกิจ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.9% ตามความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการรับโอนธุรกิจสินเชื่อจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต ทั้งจากธุรกิจหลัก ซึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว 6.2% และการรับรู้รายได้พิเศษตลอด 9 เดือน ในขณะที่การตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีจำนวน 240,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ในขณะที่สินเชื่อ"สมหวัง เงินสั่งได้" ภายใต้สินเชื่อจำนำทะเบียนขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอีก 8.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา ตามแผนการขยายธุรกิจและการขยายสาขาสำนักอำนวยสินเชื่อ ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คงที่จากไตรมาสก่อนหน้า และบริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญเพียงพอและรองรับความผันผวนทางธุรกิจ ด้วยสัดส่วนเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ระดับ 193.5%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 22.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 10.375% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.6% และ 5.0% ตามลำดับ