ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้น บริษัท ไทยอิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) ประเมินมูลค่าหุ้น TIGER ด้วยวิธีPrice to Earning Ratio (P/E Ratio)โดยอ้างอิงจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน อาทิ SYNTEC PREB TPOLY และ CRD ซึ่งมี P/E Ratio อยู่ในช่วง 8-15 เท่า โดยใช้ Prospective P/E ที่ 15 เท่า เนื่องจากศักยภาพการเติบโตของบริษัทที่สูงกว่ากลุ่ม โดยประเมิน EPS ปี 2562 อยู่ที่ 0.33 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสม 5.00 บาทต่อหุ้น และคาดหวังอัตราเงินปันผลที่ 3.3% ต่อปี
ทั้งนี้ TIGER ถือเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายเล็กที่มีศักยภาพสูง โดยคาดว่ารายได้ปี 2561-2562 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากงานในมือ (Backlog ) สิ้นเดือน มิ.ย. ที่มีอยู่ 655 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปี 2561 ทั้งหมด ช่วยหนุนรายได้และผลประกอบการในครึ่งหลังของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะช่วยปลดล็อคข้อจำกัดด้านเงินทุน เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้างโดยปกติจะใช้เงินทุนหมุนเวียนราว 20-30% ของมูลค่าก่อสร้าง
ทั้งนี้คาดว่าปีนี้ TIGER จะมีรายได้ราว 869 ล้านบาทเติบโต 41% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้ Backlog ที่มีในปัจจุบัน ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับลงจากปีก่อนที่ 18.5% สู่ระดับ 17.6% เนื่องจาก Backlog ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 4.0% ของยอดขาย ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดว่าในปี 2561 นี้ TIGER จะรายงานกำไรสุทธิราว 90 ล้านบาท +33% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี 2562 รายได้จะเติบโตต่อเนื่องสู่ 1.4 พันล้านบาท +77% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเข้าประมูลงานใหม่หลังได้รับเงินจากการระดมทุน และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิราว 153 ล้านบาท +70% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)ได้คาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2561 ของ TIGER จะอยู่ที่ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน โดยมาจากรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) เหลืออยู่ราว 655 ล้านบาท ซึ่ง ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าจะรับรู้ได้ในครึ่งปีหลังนี้ที่ 73% และส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปี 2562
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังเนื่องจากมูลค่างานคงเหลือส่วนใหญ่เป็นงานภาคเอกชนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เช่น งานก่อสร้างโรงแรมลาบารีส คอนโด Dolce และโรงแรม i-Tara เป็นต้น
ส่วนปี 2562 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 142 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 59% จากคาดการณ์ว่า TEC จะเข้าบิทงานมูลค่าสูงได้มากขึ้นตามจำนวนบุคลากรและเงินทุนของบริษัท รวมทั้งธุรกิจสนับสนุนมีการเติบโต
ทั้งนี้ ได้ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2562 ของ TIGER ได้ที่ 5.40 บาท อิง Forward PER ปีหน้าเฉลี่ยของกลุ่มรับเหมาที่ 17.60 เท่า และ EPS ปี 2562 ที่ 0.31บาทต่อหุ้น
บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุการเพิ่มทุน IPO ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทในการขยายงาน และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการประมูลงานโครงการที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้มากกว่าปัจจุบันที่พึ่งพาลูกค้าเพียงไม่กี่ราย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่แบงก์ชาติปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของไทยปี 2561-2562 ขึ้นเป็น 4.4% และ 4.2% โดยเฉพาะจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน จะยิ่งเป็นปัจจัยช่วยหนุนให้ตลาดรับเหมาก่อสร้างกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทยได้ในระยะยาว เช่น รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน SEZs และ EEC ที่ส่งผลไปถึงภาคการท่องเที่ยวของไทย ที่ขยายตัวได้ดีอยู่แล้วให้ยังคงเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต โดยจำนวนโครงการที่เพิ่มมากขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประมูลงานของ TIGER ให้มากขึ้น
พร้อมกันนี้ได้ประเมินราคาเหมาะสมของ TIGER ด้วย Forward PE ปี 2562 ที่ 15 เท่า ได้ราคาเหมาะสมที่ 4.65 บาท โดยให้ PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมย้อนหลัง 3 ปีที่ประมาณ 20 เท่า เนื่องจาก Backlog ที่มีไม่มาก และ TIGER ยังต้องพิสูจน์ว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าพร้อมกับรักษาวิศวกรของบริษัทเอาไว้ได้