นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) (SGP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3/61 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 มีกำไรสุทธิ 734 ล้านบาท ลดลง 107 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 845ล้านบาท
แม้ว่าในไตรมาส 3/2561 บริษัทจะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก (CP Saudi Aramco) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาก๊าซ LPG ในไตรมาส 3/2561 ปรับเพิ่มขึ้น 57.5 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนปรับขึ้น 102.5 เหรียญสหรัฐ โดยปรับตัวลดลง 45 เหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 43% แต่กำไรสุทธิลดลงเพียง 12.6% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นตันหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 9% นอกจากนี้บริษัทยังบริหารก๊าซคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 (มกราคม-กันยายน 2561) มีกำไรสุทธิ 1,604ล้านบาท ลดลง 317 ล้านบาท หรือ 16.51% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,922 ล้านบาท
นอกเหนือจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของธุรกิจโรงไฟฟ้าของ SGP ซึ่งปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า 2 โรงในเมียนมา กำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ และ 10 เมกะวัตต์ ซึ่งได้จ่ายไฟเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ ทำให้เริ่มมีการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้า
กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) (SGP) กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าแนวโน้มยอดขายLPG ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%หรือประมาณ 3.5 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามียอดขาย 3.2 ล้านตัน ขณะที่รายได้คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 60,000 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดขาย LPG ในประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายปีนี้จะเพิ่มขึ้น หลังจากการก่อสร้างคลัง และโรงบรรจุก๊าซ LPG ในประเทศมาเลเซียฝั่งตะวันตกแล้วเสร็จ