นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Mr.Viwat Techapoonphol, Deputy Managing Director, Head of Technical Analysis, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า หากวิเคราะห์ในเชิงเทคนิค บล.ทิสโก้ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม2561 จะอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าดัชนีจะปรับขึ้นไปทดสอบที่บริเวณ 1,730 - 1,750 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะไหลเข้ามาเพิ่มอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้ง การเร่งรัดประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐบาล ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนไทยทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2561 ส่วนแนวรับคาดว่าจะไม่หลุดกรอบที่ 1,630 จุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงมากจึงประเมินว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้น่าจะเป็นจังหวะของการรีบาวด์ ดังนั้น จึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าช้อนซื้อหุ้นไทยที่มีพื้นฐานดี ราคาถูก รวมถึงเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐบาล โดยหุ้นเด่นประจำเดือนพฤศจิกายน คือ BBL, MTC, NYT, ROJNA, SEAFCO, STEC, TPCH, และ TPIPP ซึ่งบล.ทิสโก้คาดหวังอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อหุ้นไว้ที่ประมาณ 8.0%
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ หรือเป็นการส่งสัญญาณว่าหุ้นไทยเข้าสู่ขาลงครั้งใหญ่ ซึ่งหากเป็นเหตุผลหลังนั้น ประเมินว่าอาจจะกินเวลาต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีนับจากนี้
"ต้องจับตาดูในเดือนมี.ค. 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีข่าวดีพร้อมกัน นั่นคือ มีการเลือกตั้ง และเป็นจังหวะที่บริษัทต่างๆ ทยอยจ่ายปันผล ( Dividend & Pre Election Rally ) ว่าดัชนีหุ้นไทยจะสามารถยืนเหนือ 1,780 จุดได้หรือไม่ โดยในทางเทคนิคหากดัชนีไปยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ หุ้นไทยจะไปต่อที่ 1,850 - 1,900 จุด กรณีที่ยืนไม่ได้หรือไม่ทะลุ 1,780 จุด หุ้นไทยจะเข้าสู่ขาลงครั้งใหญ่ และจะเป็นขาลงต่อเนื่องยาวนานไปอีก 2-3 ปี โดยมีแนวรับแรกที่ 1,600 จุด และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 จะมีโอกาสหลุดแนวรับดังกล่าวไปทำแนวรับใหม่ที่ 1,400 จุด เพราะข่าวดีเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ การอนุมัติโครงการต่างๆ ได้ดำเนินการไปในช่วงก่อนการเลือกตั้งแล้ว" นายวิวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 2562 ยังมีปัจจัยกดดันหุ้นไทยประเด็นเรื่องเม็ดเงินจาก LTF อาจจะไหลเข้าซื้อหุ้นไทยเป็นปีสุดท้าย แม้นักลงทุนบางส่วนยังไม่สามารถขายหุ้นออกมาได้เพราะติดเงื่อนไขต้องถือกองทุนรวม LTF ให้ครบ 5 ปีปฏิทินและ 7 ปีปฏิทิน แต่สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนรวม LTF ครบ 5 ปีปฏิทินแล้วประเมินว่าหลังจากนี้นักลงทุนกลุ่มนี้จะมีความตั้งใจขายหุ้นมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2562 อาจได้เห็นแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี สำหรับปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนหุ้นไทยในปี 2562 คือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ การจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน และฐานราคาหุ้นที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต