ดร.องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUNผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน ภายใต้ตราสินค้า "KC" เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2561 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากจากผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท รวมปันผลระหว่างกาลที่จ่ายทั้งสิ้น 21.5 ล้านบาท โดยจัดสรรจากกำไรสุทธิที่ได้รับยกเว้นสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลระหว่างกาลปี 2561 (Record Date) ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 และ กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 6 ธันวาคม 2561
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2561 บริษัทมีรายได้รวม 481.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1 ล้านบาท คิดเป็น 7.6% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 28.9 ล้านบาท ลดลง 29.9 ล้านบาท คิดเป็น 50.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากกำไรขั้นต้นลดลง จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านผลประกอบการ 9 เดือนมีรายได้เท่ากับ 1,390.7 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 117.0 ล้านบาท หรือ 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 55.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 50.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2561 บริษัทได้มีการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรแบบแม่นยำ โดยลงทุนและศึกษาวิจัยร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บริษัท บริลเลี่ยนท์ พาวเวอร์ จำกัด ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา 500Kwp (Solar PV Rooftop) และ บริษัท สกาย วีไอวี จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการให้บริการด้านเกษตรกรรมแม่นยำเพื่อการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างความเสถียรภาพตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมเมล็ดการเพาะปลูก จนไปถึงขั้นตอนการผลิตเพื่อยกมาตรฐานอุตสากรรมการเกษตรในประเทศไทย โดยปัจจุบันสามารถให้ผลผลิตได้ถึง 171 ตันต่อวัน
"ช่วง 6 เดือนหลังถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการปลูกข้าวโพดหวาน ทำให้บริษัทฯได้ปริมาณผลผลิตข้าวโพดหวานค่อนข้างมากและบริษัทฯได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็ง (Frozen) แล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งสามารถเพิ่มการผลิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตได้จากเดิมอยู่ที่ 15,000 ตันต่อปี เป็น 60,000 ตันต่อปี แม้ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะมีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่จากการที่ได้มีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ดังกล่าวทำให้บริษัทฯสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้น"
โดยบริษัทฯมีการแบ่งสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80%ในส่วนตลาดหลักอย่างทวีปเอเชีย เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นใต้หวัน มียอดขายคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) สำหรับ 9 เดือน ปี 2561 เพิ่มขึ้น 160.7 ล้านบาท คิดเป็น 24.1% จากปัจจัยความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าเดิม รวมถึงมีจำนวนยอดคำสั่งซื้อของลูกค้าใหม่ที่ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ตามงานแสดงสินค้าในประเทศต่างๆ รวมไปถึงกลุ่มประเทศยุโรปและกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมีการฟื้นตัว ประกอบกับส่วนที่เหลืออีก20% คือการเพิ่มสาขาจัดจำหน่ายสินค้าภายในประเทศผ่านร้านสะดวกซื้อต่างๆ อาทิ 7-11, บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์, Makro, Spar ทั่วประเทศ ส่งผลให้รายได้ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และ ยังคงมั่นใจในเป้าหมายของรายได้รวมที่วางไว้ในปี 2561ไม่ต่ำกว่า 10% หรือ1,800 ล้านบาท