พญ.ดลยา ประสาทอาภรณ์ กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิด หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่า 35 ปี ถือเป็นตัวเลขอายุที่มีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด เนื่องมาจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การคลอดก่อนกำหนด (Preterm Labor) เป็นภาวะการคลอดก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ ซึ่งทารกเหล่านี้ถึงแม้ว่าอวัยวะต่างๆ จะครบสมบูรณ์ แต่การทำงานของอวัยวะแทบทุกส่วนยังไม่เท่าทารกที่ครบกำหนด ทำให้ช่วงหลังคลอดของทารกที่คลอดก่อนกำหนด มักต้องการการดูแลเป็นพิเศษและอยู่รักษาในโรงพยาบาลนานกว่าปกติ สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด เกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยคือ ทั้งจากแม่และเด็ก ปัจจัยจากแม่ ได้แก่ 1.อายุ โดยเฉพาะแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป หรืออาจเป็นคุณแม่วัยใสที่อายุน้อยกว่า 18 ปีก็ถือเป็นความเสี่ยงได้เช่นกัน เนื่องมาจากการดูแลตัวเองที่ยังไม่ดีพอ 2.โรคประจำตัวต่างๆ ถ้าคุณแม่มีโรคประจำตัวก็ถือว่าเป็นครรภ์เสี่ยง หรือเป็นโรคในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ 3. เคยมีประวัติคลอดก่อนกำหนดมาก่อน ครรภ์ต่อมาก็มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้เช่นกัน 4.มดลูกมีความผิดปกติ เช่น ปากมดลูกสั้น มีโอกาสทำให้เจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดได้ 5.ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์ 6.การติดเชื้อ ครรภ์ที่โตขึ้นมีโอกาสไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กระตุ้นให้เจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดได้ ปัจจัยจากเด็ก คือ หากบุตรในครรภ์มีความผิดปกติของโครโมโซมหรือมีภาวะติดเชื้อ อาจทำให้แม่มีอาการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดได้ ทั้งนี้โครโมโซมที่ผิดปกติในเด็กจะแปรผันตามอายุแม่ที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากมีอาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์ โดยสัญญาณเตือนคลอดก่อนกำหนดได้แก่ มีอาการเจ็บครรภ์สม่ำเสมอ 4 ครั้งภายใน 20 นาที มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เป็นต้น ควรรีบมาโรงพยาบาล เพราะหากมาถึงรพ.เร็ว แพทย์สามารถให้ยายับยั้งการคลอดไว้ก่อนได้ เช่น ฉีดยากระตุ้นการเจริญของปอด การให้ยายับยั้งการหดตัวของมดลูก ทำให้ลูกสามารถอยู่ในครรภ์คุณแม่ไปเรื่อยๆ จนครบกำหนดได้ เพราะ 1 วันที่เด็กอยู่ในท้องของแม่ ดีกว่าที่เขาจะออกมาเติบโตอยู่ข้างนอกเพราะคลอดก่อนกำหนด ให้พัฒนาการทางการเจริญเติบโตของเด็กเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่หากเด็กคลอดก่อนกำหนด ออกมาเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกับอยู่ในครรภ์แม่ โอกาสแทรกซ้อนก็จะมีได้มากกว่า ถึงแม้จะมีการดูแลอย่างดีแต่ก็ไม่สามารถไปเลียนแบบเหมือนกับตอนที่เด็กอยู่ในท้องแม่ได้
การประเมินครรภ์เสี่ยงเพื่อเช็กว่าคลอดก่อนกำหนดประกอบด้วย การตรวจภายในโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก ความกว้าง ระยะห่าง ขนาดตัวและตำแหน่งทารกในครรภ์เพื่อประเมินความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด ตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อวัดความยาวและดูรูปร่างของปากมดลูกในการประเมินภาวะครรภ์เสี่ยงและโอกาสคลอดก่อนกำหนด เจาะตรวจน้ำคร่ำ(Amniocentesis) เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของทารกและภาวะติดเชื้อต่างๆ
อันตรายของทารกที่คลอดก่อนกำหนด คือ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ และส่งผลต่อระบบร่างกายดังนี้ ปอด พบปัญหาเรื่องการขาดสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) ได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด สารลดแรงตึงผิว ปอดเราจะมีถุงลมคล้ายกับลูกโป่ง สารลดแรงตึงผิวมีหน้าที่ทำให้ถุงลมไม่แฟบ เด็กที่คลอดก่อนกำหนดสารลดแรงตึงผิวจะยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ถุงลมแฟบ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะต้องใช้แรงในการหายใจค่อนข้างมากเพื่อไปเปิดถุงลมของเขา ทำให้เกิดอาการเหนื่อย ทารกจะมีอาการหายใจหอบและอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หัวใจ อาจมีปัญหาจากการที่เส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจเพื่อไปเลี้ยงร่างกายกับเส้นเลือดที่ไปสู่ปอดยังเปิดอยู่ (PDA) จะทำให้มีเลือดผ่านไปสู่ปอดมาก เป็นผลทำให้ทารกหายใจหอบและอาจเกิดภาวะหัวใจวายได้ สมอง เนื่องจากเส้นเลือดในสมองของทารกแรกคลอดค่อนข้างเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม มีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกในสมองได้ เนื่องจากเส้นเลือดเปราะแตกง่าย ลำไส้ เนื่องจากลำไส้ของเด็กยังบอบบาง การย่อยและการดูดซึมอาหารยังไม่ดีนัก ทำให้ต้องให้นมทีละน้อยๆ และอาจต้องให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำร่วมด้วย แต่คุณแม่อาจเข้ามามีบทบาทช่วยได้ในเรื่องของนมแม่ เพราะข้อดีของนมแม่คือย่อยง่ายและมีภูมิต้านทานค่อนข้างมาก ซึ่งจะช่วยระบบย่อยของลูกให้ดีขึ้นได้ ดวงตา จอประสาทตายังพัฒนาไม่สมบูรณ์ หลังเกิดอาจมีการพัฒนาของเส้นเลือดจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงอาจส่งผลต่อการมองเห็นของทารกได้ หู เสี่ยงที่จะมีความบกพร่องต่อการได้ยิน การติดเชื้อ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมักติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ในระยะยาวอาจจะมีผลกระทบต่อความบกพร่องทางปัญญา พฤติกรรม พัฒนาการทางด้านต่างๆ ได้ การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิดจะให้การดูแลเบื้องต้นคือ ให้ข้อมูลพูดคุยรายละเอียดและคำแนะนำกับคุณพ่อคุณแม่ ติดตามอาการของทารกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทารกให้เหมาะสม ดูแลรักษาทารกจนมีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 2,000 กรัม จึงจะกลับบ้านได้ ทารกสามารถหายใจและรับประทานนมได้เอง เตรียมความพร้อมให้กับคุณพ่อคุณแม่ก่อนกลับไปบ้าน ที่สำคัญคือเรื่องพัฒนาการ เพราะเด็กที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีความเสี่ยงเรื่องพัฒนาการช้ากว่าเด็กที่คลอดครบกำหนดทั่วไปได้ ต้องมีการตรวจเช็กเฝ้าติดตามอาการและนัดพบคุณหมอด้านพัฒนาการเด็ก เพื่อกระตุ้นพัฒนาการให้เขาใกล้เคียงกับเด็กปกติ
การวางแผนก่อนตั้งครรภ์และฝากครรภ์ในโรงพยาบาลที่มีหน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติคือสิ่งสำคัญ เพราะทารกคลอดก่อนกำหนดจะได้รับการดูแลที่ถูกต้องเพื่อกลับไปใช้ชีวิตและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ที่สำคัญการใส่ใจดูแลครรภ์ ระมัดระวังในการรับประทานอาหารและการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น ย่อมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ โทร 02-310- 3006, 02-755-1006 หรือ หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร. 1719