นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2561 ทีมผู้บริหารของบริษัทจะเดินทางไปโรดโชว์ 2 ประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย. 2561 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการจัดงานร่วมกับทางดอยซ์ทิสโก้ โดยมีกองทุนชั้นนำที่จะเข้าร่วมรับฟังข้อมูลกว่า 20 แห่ง ขณะที่วันที่ 26 พ.ย.2561 เดินทางไปยังประเทศฮ่องกง โดยเข้าร่วมงานกับ บล.ภัทร ซึ่งจะมีกองทุนชั้นนำที่เข้าร่วมรับฟังข้อมูลกว่า 10 แห่ง
วัตถุประสงค์ของการเดินทางไปโรดโชว์ในครั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจกับสถาบันต่างชาติ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกเกณฑ์ดูแลควบคุมสินเชื่อ จำนำทะเบียนรถ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของ MTC และจะเป็นผลดีกับผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันการเดินทางไปโรดโชว์จะทำให้ต่างชาติได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน และหันมาให้ความสนใจหุ้นมากขึ้น ดังนั้น จึงมีโอกาสเข้ามาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น MTC ได้มากกว่า 11% จากปัจจุบันอยู่ที่ 9%
นอกจากนี้การที่ดัชนี MSCI ได้นำหุ้น MTC เข้าไปคำนวณดัชนี น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศที่ใช้ดัชนีดังกล่าวเป็นตัวอ้างอิงการลงทุน ก็ต้องหันมาเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น MTC ซึ่งจะช่วยให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว 3-5 ปี บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะยกระดับหุ้นให้เข้าไปอยู่ในดัชนีความยั่งยืนหรือ DJSI ให้ได้ภายใน 5 ปี และยังคงมุ่งเน้นที่จะขยายการเติบโตในประเทศเป็นหลัก เพราะมองว่ายังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง จากนั้นจึงจะพิจารณาขยายการลงทุนในประเทศกลุ่ม CLMV
สำหรับปี 2562 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อเป็น 35% และในปี 2563 คาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อจะยังเติบโตที่ 30% เนื่องจากมองว่าธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถ มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดสะพัดจำนวนมาก และความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล น่าจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา
อนึ่ง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 3/61 มีกำไรสุทธิ 965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.46% จากงวดเดียวกันปี60 ที่มีกำไร 650 ล้านบาท ขณะที่ งวด 9 เดือนปี 61 มีกำไร 2,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 60 ที่มีกำไร 1,758 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/60 บริษัทมีรายได้รวม 2,710 ลบ. เพิ่มขึ้น 37.70% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อจำนวน 2.13 หมื่นล้านบาท เติบโต 40% ขณะที่จำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 754 สาขาจากสิ้นปี 60 เป็น 3,178 สาขา ส่วนอัตราส่วนหนี้เสียล่าสุด อยู่ที่ 1.26% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 60 ที่ 1.24% เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น