"จิตติพร จันทรัช" แม่ทัพใหญ่ มั่นใจไม่ทำให้ผิดหวัง หลังอวดผลงานงวด 9 เดือนแรก ทุบสถิติกำไรนับแต่ก่อตั้งบริษัทฯ จึงปรับเป้าหมายรายได้ปี 61 คาดเติบโต 20% และวางเป้ายอดขาย 3 ปีถัดไป โตเฉลี่ย 10 – 15% รับเทรนด์อาหารไทยได้รับความนิยมในตลาดโลก
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ส่งออกรายใหญ่ในผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และน้ำจิ้ม รวมทั้ง เครื่องแกง เครื่องประกอบอาหารไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2561 ของบริษัทฯ จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2561 เป็นเติบโต 20% จากเป้าเดิมเมื่อต้นปีวางไว้เติบโต 5-10% เทียบกับปี 2560 รายได้อยู่ที่ราว 948 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการเติบโตที่โดดเด่นในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายปี 2562 จะสามารถทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไรต่อเนื่องอีก และจะเติบโตไปอีก 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 2562 – 2564 วางเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ (CAGR) 10 – 15% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2557 หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในปี 2558 - 2560 อยู่ที่ประมาณ (CAGR) 8.7% ต่อปี เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทฯ มีการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง และอยู่ในช่วงแผนการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การเติบโต บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาสินค้าในช่วงไตรมาส 3/2561 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 2-2.5% ประกอบกับการล็อกราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักทั้งน้ำตาลและกระเทียม ที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้จนถึงปี 2563 ควบคู่กับกลยุทธ์การขยายตลาด การเพิ่มสินค้าใหม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น สอดรับกับภาพรวมอาหารไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก
"ในปีนี้ เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยราคากระเทียมที่เริ่มปรับลดลงมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาในราคากิโลกรัมละ 50 บาท และจะสามารถใช้ราคาดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2562 ราคาน้ำตาลประเภทไซรัป ที่ใช้ในโรงงานใหม่ ราคาได้ปรับลดลงจากไตรมาส 3/2561 อีก 15% จะเริ่มใช้ในช่วงไตรมาส 4/2561 และราคาน้ำตาลทรายที่ใช้ในโรงงานเดิม ลดลงอีกประมาณ 10% เริ่มใช้ในช่วงไตรมาส 1/2562 และบริษัทฯ ได้ทำการเจรจากับคู่ค้าเพื่อขอทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และสามาถล็อกราคาต้นทุนน้ำตาลได้ยาวไปจนถึงกลางปี 2563 และล็อกราคาต้นทุนกระเทียมยาวไปจนถึงปลายปี 2563 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นระดับราคาต้นทุนที่ดีมาก สนับสนุนแผนการรุกตลาดส่งออกในสินค้ากลุ่มซอส และสินค้ากลุ่มอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ จึงมั่นใจ ยอดขายและกำไรในช่วงต่อจากนี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้" นายจิตติพร กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ มีอัตรากำลังการผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มที่ระดับ (utilization rate) 57% และในปี 2562 จะย้ายไลน์การผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มแบบขวดพลาสติก PET ในโรงงานเดิมที่เป็นล็อตเล็ก ไปผลิตที่โรงงานใหม่เพิ่ม จะทำให้บริษัทฯ ได้รับสิทธิ BOI จากไลน์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น สำหรับพื้นที่โรงงานเดิม จะใช้ผลิตสินค้ากลุ่มอื่นๆ พร้อมทั้ง ปรับปรุงไลน์การผลิตสินค้าประเภทเครื่องแกงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
"ภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2561 นับเป็นปีทองของ XO สามารถทำผลงานเติบโตอย่างโดดเด่น หลังผลงานงวด 9 เดือนแรก กำไรทำนิวไฮนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ แล้วที่ 156.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218.54% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้ามีกำไร 49.20 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้า 833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% มีสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มเป็นสินค้ากลุ่มหลัก ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรดีสุด มีสัดส่วนเกือบ 80% ของรายได้จากการขายทั้งหมด สำหรับ ROE อยู่ที่ 34% และ ROA 26.2% เพื่อสะท้อนภาพธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ จึงปรับเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 2561 เป็นเติบโต 20% จากเป้าเดิมเมื่อต้นปีวางไว้เติบโต 5-10% เทียบกับปี 2560 รายได้อยู่ที่ราว 948 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59 ล้านบาท" นายจิตติพร กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ โนมูระ พัฒนสิน ระบุ ปรับประมาณการ XO ในปี 18F/19F ขึ้น 14.1% และ 11.9% ได้ TP19F ใหม่ ที่ 14.6 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ ซื้อ รับแนวโน้มกำไรโตเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 3 ไตรมาส จากภาพรวมธุรกิจที่เติบโตดีกว่าคาดจาก Organic growth ทางฝั่งของยอดขายจากอุปสงค์เครื่องปรุงรสไทยในตลาดโลกที่ขยายตัวตามแนวโน้มความนิยมอาหารไทยที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ทางฝั่งของต้นทุนและค่าใช้จ่าย ถูกบริหารจัดการได้อย่างดีจากการลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และล็อกราคาวัตถุดิบ
สำหรับกำไรงวด 9 เดือนปีนี้ คิดเป็น 86% จากประมาณการเดิม และแนวโน้มการเติบโตที่มาจาก Organic growth ทางฝั่งยอดขาย ขณะที่อัตรากำไรที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งการลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนจากการย้ายสายการผลิตมารวมที่โรงงานใหม่ (คาดเริ่มรับรู้ผล 1Q19F) ผสานการใช้น้ำตาลล็อตใหม่ 1Q19F ทำให้เราปรับกำไร 18F/19F ขึ้นอีก 14.1%/11.9% เป็น 214.9/275.4 ลบ. โดยปรับยอดขายขึ้น 1.7%/4.5% เป็น 1,128/1,305 ลบ. (เติบโต +19% y-y, +16% y-y) และปรับ SG&A ลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด โดย SG&A/Sale ใหม่อยู่ที่ 17.3%/19% (เดิม 19%/19.3%) โดยรวมอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อยู่ที่ 19.1%/21.1% ดีกว่าเดิมที่ 17%/19.7% ตามลำดับ