นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ LS ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยมี KGI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูง พร้อมทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากว่า 15 ปี อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพารา พร้อมทั้งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้จนเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต จำหน่ายหมอนและที่นอนยางพาราของประเทศไทย ที่ได้การยอมรับอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2561 มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ แบบไม่ติดตราสินค้า ผลิตให้กับผู้ค้าส่ง และผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ประมาณร้อยละ 96.82% และ สัดส่วนประมาณ2.37% มาจาก ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ 0.81% ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนขยายตลาดภายใต้ตราสินค้าของบริษัทมากขึ้น ทั้งตราสินค้า "Latex System" และมีแผนใช้ตราสินค้า "Sleepertist" เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางถึงบน ตราสินค้า "Nap&Night" เพื่อรองรับลูกค้าระดับกลางลงมา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจของ LS เป็นธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกยางพารา โดยการนำน้ำยางพารามาผลิตที่นอนและหมอนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและนำรายได้เข้าประเทศไทยอีกด้วย
ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LS มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานที่ 1 ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จ.กรุงเทพฯ ผลิตเฉพาะสินค้าประเภทหมอนยางพารา โรงงานที่ 2 อยู่บนถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จ.ฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ล่าสุดเข้าซื้อโรงงานแห่งที่ 3 อำเภอแกลง จ.ระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า ทั้งนี้ในปี 2561 โรงงานแห่งที่ 1 และโรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตที่นอนเต็มที่ รวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตหมอนเต็มที่ รวม 1,980,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งหากรวมกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมอนจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตหมอนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,136,000 ชิ้นต่อไป รองรับการขยายตลาดและโอกาสการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ถือหุ้นสัดส่วน 56.17% , กลุ่มครอบครัว วงศาสุทธิกุล ถือหุ้นรวม 19.17% กลุ่มครอบครัววรประทีป 10% , กลุ่มครอบครัว เต็มฤทธิกุลชัย 8% , กลุ่มครอบครัว ศรีหิรัญรัศมี 2% , ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ รวมอีก 4.66% ทั้งนี้ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO สัดส่วนการถือของผู้ถือหุ้นกลุ่มดังกล่าวลดลงเหลือร้อยละ 39.64% , 13.53% , 7.06% , 5.65% , 1.41% และ 3.29% ตามลำดับ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 LATEX มีทุนจดทะเบียนจำนวน 225,000,000 ล้าน และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 158,783,856 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 317,567,712 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า LS ได้ยื่นขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน119,189,059หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 – 2560 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 399.52 ล้านบาท , 429.40 ล้านบาท และ 753.47 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 37.33% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.18 ล้านบาท , 62.50 ล้านบาท และ 114.07 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 664.30 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34.64% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121.40 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 131.64% โดยในช่วง 9 เดือนปี 2561ที่ผ่านมา LS มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเฉลี่ยประมาณ 34.83% และ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 18.27% มีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าชาวจีน, เกาหลีใต้ ที่นิยมผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกในภูมิภาคเอเชียเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน การจำหน่ายสินค้าในประเทศก็มีการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการขายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ผลจากนโยบายอุดหนุนการใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางพาราธรรมชาติของภาครัฐ นอกจากนี้โครงสร้างประชากรโลกที่มีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
โดยวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไป ชำระคืนเงินกู้ยืมที่ใช้เพื่อลงทุน ซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม , เงินทุนสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ