เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 บมจ. ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น ผู้นำธุรกิจให้บริการนายหน้าประกันภัยในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด "TQM ไม่หยุดทำดีที่สุดเพื่อคุณ" ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัทฯ จากผลการสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเป็นอย่างมากและได้แสดงความต้องการจองซื้อหุ้นราคาสูงสุดที่ 23 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นในพื้นฐานของ TQM ที่เป็นบริษัทที่มีมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจสร้างนายหน้าประกันภัยและ ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 23 บาท โดยบริษัทฯ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะจัดสรรหุ้น TQM ให้แก่นักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนรวม 50.0 ล้านหุ้น หรือประมาณร้อยละ 67 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ และเตรียมเสนอขายให้กับนักลงทุนจองซื้อในวันที่ 12 – 14 ธันวาคม 2561 และคาดว่าจะจำหุ้น TQM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในวันที่ 20 ธันวาคมนี้
นางสาวพิมพ์ผกา นิจการุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ TQM จะนำไปใช้พัฒนาโครงการสำหรับปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และโครงการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจ โดยลงทุนในระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) รวมถึงเพิ่มทุนชำระแล้วในบริษัทแกน ได้แก่ บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ("TQM Broker") และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้ว 225 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งในจำนวนนี้จะจัดสรรให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย (ESOP) จำนวนประมาณ 6,100,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.03 ของทุนชำระแล้วภายหลังจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมด และส่วนที่เหลือจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป
ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น หรือ TQM ผู้นำธุรกิจให้บริการนายหน้าประกันภัยในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด "TQM ไม่หยุดทำดีที่สุดเพื่อคุณ" กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ บริษัทฯ แบ่งการให้บริการเป็น 4 ด้าน คือ
(1) ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ให้บริการผ่าน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ("TQM Broker")โดยมีการขายผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยทั้งสิ้นกว่า 130 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในกลุ่มประกันรถยนต์ (Motor) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และกลุ่มประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และกลุ่มประกัน Non-Motor ในรูปแบบประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และประกันวินาศภัยเบ็ดเตล็ด เป็นต้น
(2) ธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต ดำเนินธุรกิจผ่าน บริษัท ทีคิวเอ็ม ไลฟ์ อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ("TQM Life") ซึ่งมีการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตทั้งสิ้นกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตประเภทรายบุคคลและประกันชีวิตประเภทกลุ่ม
(3) ธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ผ่านบริษัท แคสแมท จำกัด ("Casmatt") ซึ่งครอบคลุมการให้คำปรึกษาด้านกระบวนการทางธุรกิจ งานวิจัยตลาดดิจิตอล
และ (4) ธุรกิจให้บริการด้านคำแนะนำเกี่ยวกับประกันภัย ผ่านบริษัท ทีคิวแอลดี จำกัด ("TQLD") ซึ่งเป็นบริษัทร่วม เพื่อเป็นช่องทางให้กับลูกค้าในการค้นหาและเปรียบเทียบข้อมูลประกันภัยได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดเวลา ผ่านรูปแบบการกรอกข้อมูลของลูกค้า ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีพันธมิตรที่เป็นบริษัทประกันภัยกว่า 40 แห่ง มีพนักงานขายที่ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยให้บริการกว่า 2,000 คน ผ่านสาขาและศูนย์บริการทั่วประเทศรวม 95 แห่ง ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมและทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย
ดร. นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQM กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดี โดยในปี 2558 - 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,184 ล้านบาท 2,226 ล้านบาท และ 2,281.7 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโต 1.9% ในปี 2559 และเติบโต 2.5% ในปี 2560 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (CAGR) 2.2% ต่อปี ส่วนช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม. – กันยายน) ของปี 2560 และ 2561 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,651.9 ล้านบาท และ 1,818.2 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโต 10.1%
ส่วนกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 140.4 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 178.2 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 268.3 ล้านบาทในปี 2560 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (CAGR) 38.3% ส่วนในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม – กันยายน) ของปี 2561 กำไรสุทธิ 276.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท