นายโอลิเวอร์ เย้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวด์ เฟธ ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายข้าวแผ่นอบกรอบตรา ไรซ์ บัดดี้ เผยว่า ไวด์ เฟธ ฟู้ด ได้เข้ามาเปิดโรงงานในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น ข้าวไทย เครื่องปรุงต่างๆ ไปจนถึงวัตถุดิบธรรมชาติ ที่เอื้อประโยชน์ต่อความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ แต่ถึงอย่างนั้น ไวด์ เฟธ ฟู้ด ก็ยังไม่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย เนื่องจากเรามีกำลังการผลิตที่ค่อนข้างจำกัด อีกทั้งกำลังการผลิตทั้งหมดต้องสอดคล้องกับสินค้าของ ไวด์ เฟธ ฟู้ด ทั่วโลกอีกด้วย
"และจากกระแสด้านสุขภาพที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนไทยยอมรับผลิตภัณฑ์จากแนวคิด 'Better for You' ขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการที่ GDP ของประเทศไทยในปี 2017 มีมูลค่าสูงขึ้นถึง 439.2 พันล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 450 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2018 อีกทั้ง GNI ต่อหัวของประเทศไทยในปี 2018 ยังมีมูลค่าที่ราวๆ 5,960 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโตได้ดีในระยะเวลาร่วม 10 ปี แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นหัวใจสำคัญของอาเซียนอย่างมั่นคง ทุกๆ โครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาที่สำคัญทั้งหมดจะอยู่ในประเทศไทย แสดงให้เห็นการเติบโตของตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ว่าจะเติบโตมากกว่าที่เคย ปัจจัยเหล่านี้จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้เรา ในการเดินหน้าบุกตลาดสแน็คไทยอย่างเต็มตัว"
บริษัท ไวด์ เฟธ ฟู้ด จำกัด มีประสบการณ์ด้านตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศจีน และไต้หวันมากกว่า 20 ปี อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีต้นแบบการผลิตขนมจากข้าว ด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่เหมือนใครจากความสามารถของเทคโนโลยีขั้นสูง โดยไวด์ เฟธ ฟู้ด ได้เปิดโรงงานแห่งแรกในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่ปี 2002 และแห่งที่สองในปี 2014 มีสายการผลิต 5 สาย สามารถผลิตได้ 15 ล้านชุดต่อเดือน หรือราวๆ 13,200 ตันต่อปี ซึ่งโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้ ได้รับการรับรองเกรด AA จาก BRC รวมถึงได้รับการรับรองจาก Gluten Free, Halal, GMP และยังได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ Thailand Quality Trust Mark EU & NOP Organic อีกด้วย
อีกทั้งในปี 2017 ที่ผ่านมา ไวด์ เฟธ ฟู้ด ได้เปิดโรงงานแห่งที่ 3 ขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชฯ จังหวัดชลบุรี บนที่ดิน 34 ไร่ ด้วยเม็ดเงินการลงทุนรวม 3 เฟส ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในการก่อสร้างเฟสแรก บริษัทได้ลงทุนไป 800 ล้าน และในเฟสที่ 2 บริษัทจะลงทุนอีกกว่า 500 ล้าน เพื่อขยายกำลังผลิตในเหส 2 อีก 10,800 ตันต่อปี และไวด์ เฟธ ฟู้ด ยังได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในเฟส 3 ที่ 3 อีก 14000 ตันต่อปี ในปี 2022 ด้วยเม็ดเงินลงทุนอีก 700 ล้าน ทั้งนี้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะรองรับการเติบโตของตลาดในต่างประเทศใน จีน, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอื่นๆ ร่วม 10 ประเทศได้เป็นอย่างดี ส่วนรง เดิมที่บางพลี จะรองรับตลาดภายในประเทศ
ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวของ ไวด์ เฟธ ฟู้ด มีหลากหลายแบรนด์ โดยแต่ละแบรนด์จะอยู่ภายใต้ แบรนด์แม่ Master Rice ไม่ว่าจะเป็น Rise Buddy, Allright, Rice Wonder และ Mello โดยผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์จะมีลักษณะเป็น ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติไม่เหมือนใคร มีความบางและมีรสชาติที่ดีกว่าแบรนด์อื่นๆ เนื่องจากมีการออกแบบและผลิต ตามข้าวเกรียบข้าวแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่าง อาราเระ (Arare) หรืออูชิยากิ (Ushiyaki) อีกทั้งยังใช้กรรมวิธีการอบ ใช้น้ำมันรำข้าว ปราศจากกลูเตน ไร้ไขมันทรานส์ และมีไขมันน้อยกว่าขนมขบเคี้ยวทั่วไปถึง 10% เติมเต็มในสิ่งดีๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสด้านสุขภาพทั่วโลกอย่าง "Better for You" การันตีด้วยยอดขายอันดับ 1 จากมูลค่าส่วนแบ่งการตลาด Rice Snack 42% ในออสเตรเลีย และ 52% ในนิวซีแลนด์
ทางด้าน นางสาวกรอเรีย กัว รองกรรมการฝ่ายการตลาด บริษัท ไวด์ เฟธ ฟู้ด จำกัด กล่าวเสริมว่า ผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์ของไวด์ เฟธ ฟู้ด มีจำหน่ายครอบคลุมทั่วทั้งโลก ทั้ง Rise Buddy ที่จำหน่ายอยู่ในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย และไต้หวัน รวมไปถึงตลาดใหม่บางแห่งที่กำลังดำเนินการให้พร้อมขายในอนาคต เช่น ฝั่งยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส และตลาดเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เกาหลี รวมไปถึงตลาดทางฝั่งภูมิภาคอาเซียน ด้านผลิตภัณฑ์ Allright มีวางจำหน่ายในออสเตรเลียและญี่ปุ่น ตามซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมี่ยม สำหรับผลิตภัณฑ์ Wonder Rice จะถูกวางตลาดในประเทศชิลี อินเดีย ฮ่องกงและอื่นๆ และด้านของ Mello ก็มีเป้าหมายวางขายสู่ตลาดที่นอกเหนือจากแบรนด์อื่นๆ ไปทั่วทั้งโลก
"ไวด์ เฟธ ฟู้ด ขายผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทที่ผลิตจากข้าวไทย ในรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงสามารถเติมเต็มลูกค้าได้ทุกวัย ตั้งแต่เด็กวัยหัดเดิน วัยรุ่น จนไปถึงผู้ใหญ่ อีกทั้งการได้เจอกับลูกค้าจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถนำประสบการณ์และแนวคิดใหม่ๆ มาสร้างขนมขบเคี้ยวจากข้าวไทย 100% ที่เป็นธรรมชาติ รสชาติอร่อย สร้างสุขภาพที่ดี พร้อมตอบสนองความต้องการลูกค้าชาวไทยของเราได้อย่างแน่นอน"
นางสาวกรอเรีย กัว ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า "สำหรับในประเทศไทย บริษัทจะใช้ Rise Buddy ผลิตภัณฑ์ข้าวแผ่นอบกรอบที่มีความนิยมมากที่สุด ในการแชร์ส่วนแบ่งในตลาด โดยจะเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 16-19 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มองโลกเปิดกว้างด้วยความมั่นใจ ชอบออกไปท่องเที่ยวพร้อมแชร์เรื่องราวต่างๆ กับกลุ่มเพื่อน ซึ่งตรงกับภาพลักษณ์ของ Rise Buddy ส่วนอีกกลุ่มคือคนหนุ่มสาวที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงด้านมุมมองทั้งในชีวิตจริงและสังคมออนไลน์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราจะมีให้เลือกถึง 10 รสชาติ
ในการบุกตลาดขนมขบเคี้ยวประเทศไทยในครั้งนี้ ไวด์ เฟธ ฟู้ด ได้ร่วมกับ "บริษัท นิวเวฟ เอเชีย จำกัด" (New Wave Asia) โดยจะใช้เงินลงทุนกว่า 50 ล้านบาทเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ผ่านกิจกรรมการตลาดต่างๆ รวมถึงสร้างช่องทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย และมีการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์รวมไปถึงโปรโมชั่นกับร้านค้าปลีก ซึ่งในระยะแรกบริษัทจะทำกิจกรรมสนับสนุนสังคม เพื่อให้ชื่อของ Rise Buddy เข้าไปมีพื้นที่ในหัวใจคนไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ในกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นผู้ให้การสนับสนุน การแข่งขันชิงแชมป์โลกเทควันโดครั้งที่ 8 กับนักกีฬาและนักท่องเที่ยวกว่า 2,000 ราย จากนั้นผลิตภัณฑ์จะเริ่มออกวางจำหน่ายในต้นปี 2019 ที่ห้างและร้านค้าปลีกอย่าง Top, The Mall ตามด้วยวางจำหน่ายอย่างเต็มรูปแบบในปลาย Q2 ที่ Big C, Tesco Lotus และ 7-ELEVEN ต่อไป
"ขั้นตอนแรกของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สู่ตลาด บริษัทจะมุ่งเน้นการกระจายสินค้าอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และยังสามารถสำรวจความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย โดยไวด์ เฟธ ฟู้ด วางเป้าหมายว่าจะเข้าไปเป็นหนึ่งในคู่แข่งตลาดสแน็คไทยที่มีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท โดยหวังจะมียอดขายปีแรก 500 ล้านบาท พร้อมเพิ่มขึ้น 30% ต่อเนื่องทุกปี พร้อมก้าวไปสู่ความเป็นแบรนด์และผู้จัดจำหน่ายชั้นนำของอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยว ที่มีความเป็นเลิศ 3 ประการ ได้แก่มีรสชาติเป็นเลิศ มีกระบวนการผลิตอย่างดีเลิศ และให้ความรู้สึกที่ดีเลิศ เพื่อตอบสนองรอยยิ้มและความพอใจของลูกค้าให้ดีที่สุด" นายโอลิเวอร์ เย้ กล่าวทิ้งท้าย