นางสาวเอกกฤตา แก้วพูลศรี ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน เปิดเผยว่า ในปีนี้ไปจนถึงปี 2562 ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ได้ดำเนินการปรับโฉมศูนย์ฯ ในส่วนสำคัญต่างๆ อาทิ การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ตลอดจนการปรับโซนช้อปปิ้งต่างๆ ให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้ายิ่งขึ้น ซึ่งการปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2562
"การปรับโฉมศูนย์ฯ จะเน้นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ลิฟต์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านบริการให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งการปรับปรุงสภาพพื้นที่โดยรวมให้สวยงาม อาทิ ปรับปรุงสะพานลอยให้เชื่อมกับอาคารลานจอดรถฝั่งตรงข้ามของศูนย์ฯ, ปรับปรุงด้านหน้าศูนย์ฯ, ตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง ชั้น 1-2 เพื่อเพิ่มบรรยากาศในขณะที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้า ที่สำคัญยังได้ปรับโซนสินค้าเพื่อเป็นศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ วาไรตี้ และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินช้อปปิ้งมากยิ่งขึ้น โดยย้ายกลุ่มร้านค้ามือถือจากชั้น 2 ขึ้นไปรวมกับร้านค้าไอที ชั้น 4 เพื่อแบ่งโซนสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจนรองรับกลุ่มลูกค้าคอไอทีและกลุ่มลูกค้าที่สนใจนวัตกรรมใหม่ๆ โดยยังคงแนวคิดการเป็นศูนย์การค้าที่ดึงดูดลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลาย มีคุณภาพ และราคาถูก ไฮไลท์ที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของศูนย์ฯ ได้แก่ โซนตลาดนัดติดแอร์ชั้น 6, 7 และ 8 ซึ่งถือได้ว่าใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี และในเดือนธันวาคมนี้ ได้ขยายเวลาเพิ่มจากเดิมเสาร์-อาทิตย์ เพิ่มเป็นเปิดศุกร์ถึงอาทิตย์ โดยได้เริ่มเปิดแล้วตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา, โซนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีที่มีให้เลือกหลากหลาย ราคาถูก และโซนศูนย์พระเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ดำเนินงานโดยคุณพยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย"
ด้านกลุ่มเป้าหมายของศูนย์ฯ นั้น นางสาวเอกกฤตา อธิบายเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน มีอายุระหว่าง 15-60 ปี โดยส่วนมากจะเป็นกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา กลุ่มคนทำงาน และกลุ่มวัยเกษียณ และการปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ จะสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่กลุ่มวัยเริ่มทำงานและกลุ่มครอบครัวเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการสินค้าและบริการที่มีราคาไม่สูงและต้องมีความหลากหลาย คุณภาพดี ราคาถูก"
เรื่องกลยุทธ์การเพิ่มอัตราการเติบโตของศูนย์ฯ นั้น นางสาวเอกกฤตา กล่าวเสริมว่า "พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วานพยายามที่จะคัดสรรร้านค้าและบริการที่หลากหลายเพื่อตอบรับกลยุทธ์ Simple and Easy ให้เป็นที่ที่ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถจับต้องได้ อาทิ กลุ่มลูกค้าที่สนใจพระเครื่องพระบูชา ทางศูนย์ฯ จะจัดกรุ๊ปทัวร์พระเครื่องและจัดโซนพระเครื่องสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจ กลุ่มครอบครัวที่สนใจสินค้าตลาดนัด โดยจะเพิ่มสินค้า อาทิ สินค้าของเล่นญี่ปุ่น ของสะสม กลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ได้สรรหาร้านค้าไอทีใหม่ๆ และร้านอาหารหลากสไตล์ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วในปี 2561 ได้แก่ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร, ร้านบ้านก๋วยเตี๋ยว, สเวนเซ่นส์ เสริมด้วยกลุ่มร้านค้าหลักๆ ที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว ได้แก่ Texas, TOP Market, IT City, JIB, Banana IT, MR.D.I.Y, Watson , นิติพลฯ และได้วางแผนจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อแนะนำโซนชั้น 4 ซึ่งจะจัดมหกรรมสินค้าลดราคา การจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม โดยในปี 2562 มีงบการตลาดและการทำประชาสัมพันธ์ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วานมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน สามารถปล่อยเช่าพื้นที่โดยรวมได้แล้วประมาณ 80% และ โดยอีก 20%จะมีการเพิ่มสินค้ากลุ่มแฟชั่นและอาหารให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับโฉมใหม่นี้คาดว่าจะมีปริมาณลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเดิม 35,000 คน เป็น 40,000 คนต่อวัน และคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 15 % จากปีที่ผ่านมา"
"การเติบโตของเขตเศรษฐกิจในย่านงามวงศ์วาน การเดินทางที่รวดเร็ว ความสะดวกสบาย ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางด่วนบางโคล่-แจ้งวัฒนะ) ทำให้ลูกค้าสามารถเดินทางมาใช้บริการจากทุกแห่งได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังเป็นจุดต่อรถ เช่น รถตู้ ซึ่งศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน มีรถตู้ให้บริการกว่า 10 สาย ได้แก่ เพลินจิต, สีลม, มีนบุรี, บางกะปิ, มาบุญครอง, นครปฐม, พระราม 9 และรถสามล้อเครื่อง, และรถประจำทาง ทั้งยังมีการเดินทางที่สะดวกเชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนวิภาวดีรังสิต ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนประชาชื่น ถนนติวานนท์ ถนนรัตนาธิเบศร์ ทำให้เกิดความรวดเร็วในการเดินทาง นอกจากนี้ ยังรายล้อมด้วยหน่วยงานราชการ สถานศึกษา โรงเรียนกวดวิชา โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัยชั้นนำ ชุมชน หมู่บ้าน และคอนโดมิเนียมในรัศมี 5 กิโลเมตร ที่ค่อนข้างหนาแน่น มีจำนวนประชากรจำนวนมาก โดยเทศบาลนครนนทบุรีถือได้ว่า มีประชากรสูงสุดในจังหวัดนนทบุรีโดยมีประชากรกว่า 250,000 คน ซึ่งถือเป็นโอกาสและช่องทางให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจในย่านนี้ให้สูงขึ้นด้วยเช่นกัน และปัจจุบันในย่านนนทบุรีมีการพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวก และรวดเร็วในการเดินทางมากยิ่งขึ้น ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน – บางใหญ่) และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่กำลังเตรียมก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564 ทำให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นอีกจำนวนมาก แน่นอนว่าศูนย์การค้าฯก็จะต้องเป็นที่ๆผู้คนต้องการเข้าใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน" นางสาวเอกกฤตา กล่าวสรุป