นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าซิงเกอร์ รวมถึงสินค้าเชิงพาณิชย์ต่างๆ ผ่านร้านค้าปลีกของบริษัทและผ่านทางตัวแทนจำหน่ายต่างๆ โดยบริษัทให้เช่าซื้อผ่านทาง บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถภายใต้ชื่อ "รถทำเงิน" และสินเชื่อเช่าซื้อเพื่อธุรกิจรายย่อย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวนไม่เกิน 432 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 432 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (พาร์) 1.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 270 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 702 ล้านบาท พร้อมกับให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์)SINGER-W1 และ SINGER-W2
การใช้สิทธิครั้งที่ 1 หรือ SINGER-W1 อายุ 2 ปี จำนวน 108 ล้านหน่วยเพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท และได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) และจองเกินจากสิทธิ (Excess Rights) ในอัตราส่วน 2 หุ้นที่ได้รับจัดสรรต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ กำหนดอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ที่ราคาใช้สิทธิจะเท่ากับราคาซื้อขายถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของบริษัทย้อนหลัง 15 วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2562 บวกส่วนเพิ่มร้อยละ 20
การใช้สิทธิครั้งที่ 2 หรือ SINGER-W2 อายุ 4 ปี จำนวน 108 ล้านหน่วยเพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท และได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) และจองเกินจากสิทธิ (Excess Rights) ในอัตราส่วน 2 หุ้นที่ได้รับจัดสรรต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ กำหนดราคาใช้สิทธิ 14 บาท
โดย SINGER มีมติอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ รวมจำนวนไม่เกิน 216 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิม ต่อ 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุน และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 216 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
"การเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมั่นคงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งบริษัทจะมีความพร้อมทางด้านเงินทุน และสภาพคล่องทางด้านการเงินที่จะขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการสินเชื่อที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อยในอนาคต อันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ และกำไรต่อบริษัท ตลอดจนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว และชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมที่จะกำลังจะครบกำหนดในปีนี้อีกด้วย" นายกิตติพงศ์ กล่าว