นอกจากนี้ยังมองภาพการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยและตราสารหนี้โลกปีนี้ เริ่มให้ผลตอบแทนที่น้อยลง หรืออาจจะติดลบ เมื่อ Mark to Market จึงทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยคาดว่าเงินทุนเคลื่อนย้าย หรือ Fund Flow จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น เนื่องจากทุนเคลื่อนย้ายจะเคลื่อนเม็ดเงินตาม Search for Yields หรือการหาผลตอบแทนที่ดีกว่า และตามค่าเงินสกุลภูมิภาคที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ จะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกประมาณ 1-4% เช่น น้ำมัน , หุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว , หุ้นในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ,ทองคำ รวมทั้งหุ้นไทย โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ขายในตลาดหุ้นไทย 1.8 พันล้านบาทนั้น ถือว่าขายน้อยลง ประกอบกับสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยถือว่าเกือบต่ำสุดในรอบ 14 ปี โดยมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ที่ 29%ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป)
"นักลงทุนต่างประเทศเริ่มทำการซื้อสะสมในตลาดหุ้นเอเซีย (ยกเว้นจีน) กว่า 800 ล้านเหรียญในช่วง 2 สัปดาห์แรกของมกราคม 2562 โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลไปลงทุนที่ประเทศเกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ประเมินว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยในครึ่งปีหลังของปีนี้มากขึ้น โดยขณะนี้ต่างชาติได้เข้ามาซื้อให้เห็นบ้างแล้ว" นายวิศิษฐ์กล่าว
นายวิศิษฐ์ยังกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยพื้นฐานเป้าหมายที่ Forward PE ที่ 15.6 เท่า หรือที่ SET Index ระดับ 1,800 จุด และมองการแกว่งตัวของ SET Index ในปี 2562 ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500 – 1,800จุด โดยที่ประเมิน SET Index ที่ระดับ 1,500 เป็นระดับ Forward PE ที่ 13เท่า เท่านั้น และมองว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ 10 ปี ที่ระดับ 4.7% จึงถือเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 4 ปี โดยในเดือนม.ค.ปี2560 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ 5.49% และปี 2558 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 4.74 %
นอกจากนี้ ยังพบว่านักลงทุนบุคคลในตลาดหุ้นไทย ได้เริ่มสนใจลงทุนในตลาด TFEX มากขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวของ SET50 INDEX ใน TFEX เริ่มมีความเหวี่ยงตัว(Volatility) ระหว่างวันสูงขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนบุคคลเริ่มมีความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายของตลาด TFEX ใน SET50 มีสัดส่วนกว่า 80% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการซื้อขายใน SET และอาจมากกว่า SET ในอนาคต
นายวิศิษฐ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า บล.ทรีนีตี้ ได้ออกคำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผลสูง High Dividend Stock ซึ่งประเมินว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยจากงานวิจัยพบว่าจากสถิติ 8 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา การลงทุนลักษณะดังกล่าวจะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนประมาณ 10% (ด้วยความเชื่อมั่น 90%) ในช่วงระยะเวลาการลงทุนเพียง 4 เดือน ของการถือครอง (มกราคม ถึงเมษายน ) นอกจากนี้ บริษัทยัง มีบริการ Smart Wealth จัดพอร์ต มั่นคง และพอร์ตว่องไวให้กับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามตลาดฯ อย่างใกล้ชิดและไม่สะดวกในการหาข้อมูลในการลงทุน รวมทั้งเฝ้าราคาหาจังหวะการเข้าซื้อและขายหุ้นด้วยตัวเอง โดยทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนีตี้ จะช่วยเลือกหุ้น 5 ตัวเข้าพอร์ตและให้ข้อมูลจังหวะในการเข้าซื้อและขายให้เจ้าหน้าที่การตลาดดำเนินการซื้อให้ โดยที่นักลงทุนเพียงแค่เปิดพอร์ต และวางเงิน ทั้งนี้ที่ผ่านมาพอร์ตมั่นคง และว่องไวยังoutperform ตลาดหุ้นไทย ผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถดูรายละเอียด และติดตาม พร้อมรับข้อมูลได้ที่ บล.ทรีนีตี้ โทร. 02-343-9555