นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SMD D Bank กล่าวว่า โครงการ 'SME-D Scaleup Rubber Innovation ติดปีกธุรกิจยางพาราด้วยนวัตกรรม' เป็นความร่วมมือกันระหว่างธนาคารและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการยางพาราไทยด้วยนวัตกรรม เสริมองค์ความรู้และเน้นทำการตลาดออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยางพาราไทยมาถ่ายทอดประสบการณ์ ตลอดจนอบรมด้านบัญชี ทรัพย์สินทางปัญญา การสร้างนวัตกรรมให้กับสินค้า ช่องทางการตลาด และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน คือ 1.สินค้าที่ผลิตจากโครงการ สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 2. ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม 3.ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา 4.ยกระดับมาตรฐานให้สินค้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ 5.เพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ และ 6.เกิดเครือข่ายแปรรูปยางพาราจากทั่วประเทศ นำสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรก ดันรายได้ปรับขึ้นทันที โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ สามารถเพิ่มยอดขายมากกว่า 43.75 ล้านบาท และลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า 120,000 บาท และเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา 7 ราย และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 5 ราย นอกจากนี้โครงการดังกล่าวผู้ประกอบการที่เข้าอบรม 51 รายจากเดิมมีการใช้ยางพารารวมกันประมาณ 6.454 ล้านกิโลกรัม ยังสามารถต่อยอดการใช้ยางพาราเพียงแค่ระยะเวลา 6 เดือนเพิ่มขึ้น 0.322 ล้านกิโลกรัม เพื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากยางพาราต่างๆด้วย
นอกจากนั้น เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายของผู้ประกอบการหน้าใหม่ (startup) กลุ่มยางพาราไทยที่แข็งแกร่ง นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากยางพาราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยโครงการ 'SME-D Scale up Rubber Innovation ติดปีกธุรกิจยางพาราด้วยนวัตกรรม' แม้จะเกิดขึ้นเพียงไม่ถึงปี(พ.ค.-ธ.ค.2561 )แต่สามารถสร้างสินค้าจากนวัตกรรมยางพาราไทยได้ถึง 12 ผลิตภัณฑ์ จากในอดีตที่ค่าเฉลี่ยการเกิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนั้นสูงสุดไม่เกิน 5 ผลิตภัณฑ์เท่านั้นและเป็นผลงานบนหิ้งเชิงวิชาการ แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ ประสบความสำเร็จ ทั้งในการสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ และเชิงพาณิชย์ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
สำหรับตัวอย่าง Startup จากโครงการที่ประสบความสำเร็จ เช่น หจก.หาดใหญ่รับเบอร์เทค ผู้ผลิตพรมละหมาดจากยางพาราเพิ่มอัตลักษณ์ผ้าทอมือชาวเกาะยอ สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจากเดิมครอบครัวเคยประกอบธุรกิจรับซื้อน้ำยางสด แต่เมื่อราคายางตกต่ำ กระทบธุรกิจอย่างรุนแรงและเมื่อเข้าร่วมโครงการนี้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพรมละหมาดเติบโตแบบสตาร์ทอัพก้าวกระโดดภายในระยะไม่ถึง 1 ปี สร้างรายได้ยอดขายเพิ่มขึ้น1,000% คิดเป็นวงเงินกว่า 10 ล้านบาทนอกจากนี้ยังมีธุรกิจหมอนยางพาราหลายกิจการ ผลิตภัณฑ์จอกยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูยางพาราอื่นๆยอดขายเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งแต่10% ไปจนถึง 100 % เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวต่อว่า นอกจากสร้างเครือข่ายในกลุ่มผู้ประกอบการยางพารา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จนประสบความสำเร็จ โครงการนี้ยังเพิ่มช่องทางการทำตลาดออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึง ทีมอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจาก มอ.ให้คำปรึกษา พาจับคู่ธุรกิจ ตลอดจนการนำเครื่องจักรมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่วยลดอัตราการเสียหายระหว่างการผลิต 1-5%
สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับอนุมัติสินเชื่อจาก ธพว.ไปแล้ว 12 ราย วงเงินเกือบ 20 ล้านบาท และมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น เช่น แผ่นรองเท้าแบบเต็มฝ่าเท้า, น้ำยางครีมมิ่ง, หมอนยางผสมชาร์โคล, หมอนที่เติมสารให้ประจุลบ, เสื่อโยคะ, บรายางพาราแท้ 100% สำหรับสตรี, ยางลอกลาย 3 มิติ, ถุงเพาะชำย่อยสลายและกักเก็บความชื้น,พับแต่งหน้าจากยางพารา, ยางออกกำลังนิ้ว, รองเท้าบูทยางพารา น้ำหนักเบา เกาะยึดได้ดี และแผ่นรองเท้าแบบยางเคลือบผ้ากระสอบ เป็นต้น ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารานำรายได้สู่ประเทศต่อไป