นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานในปี 2562 ว่า บลจ.ทาลิส ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเป็น "Boutique Asset Management" ที่เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะมีลูกค้าใหม่ เข้ามาใช้บริการกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมมากขึ้น หรือมี AUM รวม ณ สิ้นปี 2562 แตะระดับ 10,000 ล้านบาท จาก AUM รวม ณ สิ้นปี 2561 ที่ 5,664 ล้านบาท โดยมีแผนการออกกองทุนตราสารหนี้เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยช่องทางการขายผ่าน Selling agent นักวางแผนการลงทุนอิสระ (Independent Investment Planner : IIP) รวมถึงช่องทางการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ Internet Trading: TalisAM Online Channel และ Mobile Application: Streaming For Fund
ในปีที่ผ่านมา เป็นปีที่การลงทุนเกือบทุกสินทรัพย์ เผชิญ "ความผันผวนและผิดหวัง" โดยแม้ในช่วงต้นปี ตลาดจะประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว ตามด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ปรากฏว่า ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก กลับเผชิญแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) และประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรก และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของความผันผวนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ก่อนที่จะจบปี 2561 ด้วยผลตอบแทนติดลบเกือบทุกสินทรัพย์
เช่นเดียวกับ SET Index ที่ผลตอบแทนในปี 2561 ติดลบสวนทางกับตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงกำไรบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2561 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,564 จุด ลดลง 10.82% ในขณะที่ GDP ของประเทศไทย ขยายตัวที่ระดับ 4% ซึ่งดีกว่าช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้ ที่ขยายตัวต่ำกว่า 4% เช่นเดียวกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน ที่เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยภาพรวม NAV ณ สิ้นปี 2561 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ ณ สิ้นปี 2560 จากการที่นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุน เพื่อเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้น และผลตอบแทนที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง
ผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย อย่างไรก็ดี ด้วยความคล่องตัวในการปรับตัวขององค์กรขนาดเล็ก โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ และผลจากความตั้งใจในการปรับกลยุทธ์การลงทุน ทำให้กองทุนของทาลิสนับจากต้นปีถึงสิ้นเดือนมกราคม 2562 สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้น
"ในช่วงที่ตลาดเผชิญความผันผวนสูง ทีมผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ทาลิส ได้พัฒนาและปรับกระบวนการทำงาน เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดล่วงหน้าให้ดีขึ้น รวมถึงวางกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในสภาวะตลาดที่ความผันผวนสูง รวมถึงได้ศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ที่คาดว่าน่าจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดีขึ้น ทั้งด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนด้วย" นายฉัตรพีกล่าว
ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ให้ข้อมูลว่า แม้ในปี 2561 ที่ผ่านมา SET Index จะติดลบเช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่หากดูข้อมูลในระยะ 15 ปีย้อนหลัง จะพบว่าตลาดหุ้นไทย สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 เหนือกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ของโลก ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 8.8% และหากดูข้อมูลผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลังตลอด 18 ปีที่ผ่านมา (Total return) ตลาดหุ้นไทย ก็ยังเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงในอันดับต้นๆ เป็นส่วนใหญ่อีกด้วย
ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า บลจ.ทาลิส ยังเชื่อว่า ภาพระยะยาวของตลาดหุ้นไทย จะยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก โดยมองว่าจากนี้ไปอีก 10 ปี บริษัทจดทะเบียนของไทยจะสามารถทำกำไรเป็นสถิติใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่เชื่อว่าเริ่มเข้าสู่โหมดของการฟื้นตัวต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองระยะสั้น บลจ.ทาลิส คาดว่า SET Index ในปี 2562 ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีไว้ที่ระดับ 1,742 จุด ภายใต้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 112.4 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น EPS Growth ที่ระดับ 6% ปัจจัยบวกสำคัญ บลจ.ทาลิส ยังให้น้ำหนักกับการเลือกตั้งในประเทศ ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งต้องได้รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจึงจะเป็นบวกต่อตลาดทุน รวมถึง การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หากมีข้อสรุปว่าไม่มีการดำเนินมาตรการเพิ่มเติมก็ถือว่าเป็นบวกต่อตลาด และค่าเงินบาทแข็งค่า จากดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก จะส่งผลให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ในขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้นปัจจุบันยังไม่แพง
อย่างไรก็ดี บลจ.ทาลิส ยังคงมองว่า SET Index ในปี 2562 มีโอกาสเผชิญความผันผวนสูง โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีระหว่าง 1,551-1,861 จุด ซึ่งความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนจะต้องติดตาม คือ
- สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนขยายตัวรุนแรงขึ้น
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน
- อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในระดับต่ำ
- ราคาน้ำมัน หากอยู่ในระดับต่ำ จะส่งผลลบต่อกลุ่มพลังงาน แม้จะดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
- การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทย
- ผลการเลือกตั้ง หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล หรือไม่ได้รัฐบาลเสียงข้างมาก
- การไม่ต่ออายุการลดหย่อนภาษี ของกองทุน LTF หลังปี 2562
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด โทร. 02 015 0222 หรือ www.talisam.co.th