ทั้งนี้การเติบโตแบบก้าวกระโดดได้แรงส่งสำคัญมาจากการจำหน่ายสินค้ากว่า 100รายการ ในกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม(Health and Beauty) แบรนด์มาจีค (Magique),แบรนด์รีไวฟ์ (Revive)กลุ่มอาหารเสริมแบรนด์ S.O.M ตามด้วยกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านและไลฟ์สไตล์(Home&Lifestyle)และกลุ่มเครื่องประดับ (Accessories) ที่ทำตลาดจำหน่ายผ่านสื่อที่มีประสิทธิภาพในเครือฯอาทิ ช่อง 8,ช่อง 2,ช่องสบายดีทีวี เลข 141, ช่องเพลินทีวี, วิทยุคูลฟาเรนไฮต์, สื่อออนไลน์www.shop1781.com, LINE@shop1781, LINE@COOLanything รวมถึง ผ่าน LifestarBIZ หรือตัวแทนขายตรง และห้างค้าปลีกModern Trade และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการใช้กลยุทธ์โฆษณากระตุ้นการขายที่เหมาะสมในแต่ละช่องทาง อาทิ แคมเปญ Shop1781 New Year Grand Sale ซึ่งสามารถ ทำยอดขายพุ่งทุบสถิติใหม่ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
"ช่องทางต่างๆ เหล่านี้ได้พัฒนามาจากจุดแข็งและความสามารถหลักของบริษัทฯ ทำให้อาร์เอสมีแต้มต่อและได้เปรียบคู่แข่ง ประกอบกับมีฐานลูกค้าหนาแน่น ที่ล้วนมีแบรนด์รอยัลตี้สูง มีการซื้อซ้ำต่อเนื่อง"
ในส่วนของธุรกิจสื่อมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 30% ใช้กลยุทธ์คอนเทนต์ระดับพรีเมี่ยมทั้งในและต่างประเทศลงจอตลอดทั้งปี เติบโตสวนทางกับภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อที่ชะลอตัว โดยมีรายได้1,344.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35.1%ของรายได้รวมโดยช่อง 8ยังเป็นหัวหอกสำคัญ เพราะสามารถปิดจองโฆษณาระยะยาวได้ตามเป้า ขายพื้นที่โฆษณาได้เพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีเพราะมีคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมและ ประสบความสำเร็จ อาทิ ละครไทย พยัคฆา สาปกระสือ และซิ่นลายหงส์ คอนเทนต์ซีรีส์ต่างประเทศอย่างหนุมานสงครามมหาเทพ ลิขิตแค้นแสนรัก และพิฆเนศมหาเทพไอยรา รวมถึงคอนเทนต์ข่าว คุยข่าวเช้าและคุยข่าวเย็น
ในขณะที่สื่อวิทยุ หรือ "COOLfahrenheit" ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในอันดับ1 ของ กลุ่ม Easy Listening และอันดับ 2 ของประเทศ และมีการจัดกิจกรรมสำหรับผู้ฟังที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อาทิ "COOL Outing" และ "อิ๊งค์ Eat All Around" ธุรกิจเพลง เป็นธุรกิจที่ต่อยอดใหม่ๆ ได้ โดยชู "อาร์สยาม" แบรนด์เดียวภายใต้กลยุทธ์ Music Marketing and Services ทำแนวดนตรีไร้ขอบตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย และ อีเวนต์มีสัดส่วนรายได้10%
นายดามพ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปี 2562อาร์เอสจะแข็งแกร่งที่สุด และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้รวมทั้งกลุ่มเติบโตแตะ 5,000ล้านบาท สูงสุดในรอบ 37 ปีของธุรกิจ โดยรายได้หลักประมาณ 60%ยังมาจากกลุ่มธุรกิจ MPCหลังบริษัทฯเดินหน้าพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่ๆ จับมือกับแล็ปชั้นนำระดับโลกผลิตสินค้าที่สุดแห่งนวัตกรรมภายใต้แบรนด์ที่มีอยู่ให้มีความหลากหลาย ตรงความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของกลุ่มลูกค้าต่อเนื่อง รวมถึงขยายช่องทางขายใหม่ๆเพิ่ม โดยเฉพาะในช่องทางสื่อออนไลน์ที่นำระบบ data analytics มาวิเคราะห์ใช้กับลูกค้าที่มีอยู่กว่าล้านราย ให้กลับมาซื้อซ้ำมากขึ้นรวมถึงนำมาช่วยวิเคราะห์ลูกค้าที่มีอยู่ในมือกว่าล้านราย ร่วมกับการพัฒนาระบบหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้ำเกิดการซื้อซ้ำ และสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ให้มีความหลากหลายของประเภทสินค้ำเพิ่มขึ้น และมุ่งเน้นสินค้ำที่มี อัตราการทำกำไรสูง ตามด้วยการสร้างรายได้กลุ่มสื่อ เพลงและอีเว้นต์ ตามลำดับ ภายใต้แผนการดำเนินธุรกิจใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด Horizontal Integration ที่มุ่งสร้างการเติบโตแนวราบ เปิดโอกาสทำธุรกิจใหม่ๆ โดยนำความแข็งแกร่งของบิซิเนสโมเดลพาณิชย์หลายช่องทาง มาควบรวม (Synergy) กับธุรกิจสื่อ ธุรกิจเพลง เข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นเจาะกลุ่มคนดู แฟนเพลง เปลี่ยนเป็นฐานลูกค้า ซึ่งเป็นระบบการจัดการธุรกิจไร้กรอบที่ได้ผลลัพธ์สูงสุด สำหรับสถานีโทรทัศน์ "ช่อง 8" ในปี 2562คาดว่าสามารถรักษาฐานผู้ชมที่มีกว่า 4 แสนรายได้ทั่วประเทศ และครองเรตติ้งเกาะกลุ่มผู้นำทีวีเมืองไทยต่อไป อันเป็นผลจากการใช้สโลแกน "ใครๆ ก็ดูช่อง 8"เจาะกลุ่มเป้าหมาย Mass Target 35 ขึ้นไป