เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักฝุ่นขนาดจิ๋วที่เรียกว่า PM 2.5 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมประมาณ 20 - 30 เท่า ฝุ่น PM2.5 นี้ไม่ใช่เป็นมลพิษทางอากาศชนิดเดียวที่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่ยังมีก๊าซพิษอีกหลายอย่าง เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมทั้งโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศที่เราหายใจอีกด้วย ทั้งนี้ ซึ่งปัญหาของมลพิษทางอากาศไม่ได้มีเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังพบได้ตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก และมากกว่า 90% ของประชากรทั่วโลกก็ได้รับมลพิษทางอากาศที่เกินค่ามาตรฐานเช่นกัน ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพกระจายเป็นวงกว้าง จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในทุกปีมีประชากรถึง 7 ล้านคนที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากการได้รับมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ และ โรคสมอง
ทั้งนี้ ฝุ่น PM 2.5 สามารถซึมผ่านเข้าสู่เส้นเลือด รวมทั้งผ่านเข้าทางเส้นประสาทการรับกลิ่นที่อยู่ในโพรงจมูก และผ่านเข้าไปยังสมองได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการอักเสบในสมอง มีการหลั่งสารอักเสบชนิดต่างๆ ที่ทำให้เซลล์สมองได้รับบาดเจ็บ เกิดภาวะสมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ รวมทั้งพบว่าทำให้เกิดการก่อตัวของก้อนโปรตีนที่ผิดปกติในสมอง ที่มีลักษณะคล้ายกับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคพาร์กินสัน และยังทำให้สมองส่วนเนื้อขาว (White Matter) มีการฝ่อเหี่ยวมากกว่าคนปกติอีกด้วย
ในเด็กก็เช่นกัน มีหลายงานวิจัยที่ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของ PM 2.5 ต่อความผิดปกติทางด้านพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก อาทิ มีสติปัญญาด้อยลง การพัฒนาการช้าลง มีปัญหาด้านการได้ยินและการพูด รวมทั้งยังมีผลทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้น และภาวะออทิซึม เพิ่มมากขึ้นถึง 68% สำหรับในผู้ใหญ่พบว่า การได้รับฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า และทำให้เกิดโรคพาร์กินสันเพิ่มได้ถึง 34% เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมอง (Stroke) เพิ่มขึ้น โดยระดับ PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นจะยิ่งเพิ่มระดับความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมอง โดยในกลุ่มคนที่เป็นโรคเส้นเลือดสมองอยู่แล้วหากได้รับ PM 2.5 ยังเป็นการเพิ่มอัตราการเสียชีวิตให้กับคนกลุ่มนี้อีกด้วย ที่สำคัญสำหรับคนรักสุขภาพถ้ายิ่งออกกำลังกายในสถานที่มีฝุ่น PM2.5สูงๆ ก็ยิ่งเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าได้ผลดี เพราะจะเพิ่มอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองได้มากกว่า
การป้องกันฝุ่นจิ๋วที่ไม่จิ๋วต่อผลกระทบกับร่างกายเบื้องต้นที่ทำกันได้ง่ายในชีวิตประจำวัน คือ หลีกเลี่ยงเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นขนาดจิ๋วในปริมาณสูง ใช้เครื่องป้องกันอย่างเหมาะสม เช่น การใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น และเลือกรับประทานผักและผลไม้(ในปริมาณที่มากกว่า 3.5 serving ต่อวัน) เพราะจะช่วยลดผลกระทบของฝุ่นจิ๋วต่อร่างกายได้ อันเนื่องมาจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในผักและผลไม้ และให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงการช่วยกันลดมลภาวะในอากาศ เพราะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพทั้งตัวเราเองและคนที่เรารัก