นายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทนดร็อป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปสัตว์น้ำแช่แข็ง จำหน่ายและส่งออก ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า และผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง เปิดเผยว่า ปี 2562 บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 11% หรือมีรายได้รวมประมาณ 10,700 ล้านบาท และคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 10-12% จากการเติบโตของยอดขายในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งจากธุรกิจ OEM และแบรนด์มองชูที่จะรุกตลาดไทย-จีนเต็มที่ และธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง เน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มเพิ่มมูลค่าและเร่งผลักดันแบรนด์ใหม่เจาะตลาดภายในประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนปรับปรุงสายการผลิต เพิ่มกำลังการผลิต และเร่งโครงการก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตและการทำกำไร และยังเพิ่มโอกาสให้รายได้เติบโตขึ้นอีกในอนาคต
"เป้าหมายหลักของห้องเย็นเอเชี่ยนฯ ปี 2562 คือการปรับปรุงประสิทธิภาพและการเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพ บริษัทฯ ทำมาตลอดในปี 2561 ตั้งแต่การปรับปรุงให้ธุรกิจในเครือมีการใช้ห้องเย็นร่วมกัน เน้นประสิทธิภาพร่วมกันสูงสุด ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานขาย ปรับปรุงไลน์ผลิต และในปี 2562 ยังมีโครงการต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ และการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงานคนในการผลิตหลายส่วน ในส่วนการเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น หลังจากที่ในปี 2561 บริษัทฯ ลงทุนในกิจการร่วมค้า สร้างช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดสำคัญและได้ชิมลางการทำตลาดแบรนด์ผ่านแบรนด์ "MARIA" ในปี 2562 นี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมี่ยมแบรนด์มองชู เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งในตลาดในประเทศและตลาดในประเทศจีน และในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ วางแผนจะผลักดันแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็งพร้อมทานเข้าสู่ตลาดในประเทศไทย จากเดิมที่เน้นส่งออกมาตลอด"
นายเฮ็นริคคัส กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 9,646 ล้านบาท ลดลง 0.9% จากปี 2560 ที่มีรายได้รวม 9,740 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากยอดขายลดลงในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำและกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่าย ซึ่งยอดขายกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาชดเชยได้บางส่วน และการที่ยอดขายราว 80% ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการที่ค่าเงินเหรียญดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงราว 4.8%
ขณะที่กำไรสุทธิปี 2561 อยู่ที่ 362 ล้านบาท ลดลง 13.3% จากปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 418 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อนหน้าบริษัทฯ ได้รับผลประโยชน์จากการตั้งสินทรัพย์ทางภาษีเงินได้รอตัดบัญชีที่สูง อย่างไรก็ตาม ศักยภาพการทำกำไรของบริษัทฯ ยังแข็งแกร่ง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 10.4% อัตรากำไรก่อนภาษีอยู่ที่ 3.7% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ กระแสเงินสดของบริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนลดลงมาอยู่ที่ 2,905 ล้านบาท เทียบกับ 3,295 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ส่วนอัตราส่วนทางการเงินจากงบแสดงฐานะทางการเงินแสดงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.4 เท่า เทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.7 เท่า ซึ่งดีกว่าระดับเป้าหมายที่ต้องการให้อยู่ที่ระดับ 1.5-1.8 เท่า ส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 1.0 เท่า ลดลงจากปี 2560 ที่อยู่ในระดับ 1.4 เท่า
และในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับทางเครดิตให้กับบริษัทฯ โดยที่ให้อันดับเครดิตองค์กรที่ BBB- และให้แนวโน้มอันดับเครดิต คงที่ หรือ Stable ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มน่าลงทุน
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นให้พิจารณาจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับปีก่อนหน้า วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล 7 พ.ค. 2562 และจ่ายปันผลวันที่ 21 พ.ค. 2562 โดยจะจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เม.ย. 2562