นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระรายแรกในประเทศไทย ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท หรือ 'AIMIRT' เปิดเผยว่า ทรัสต์ AIMIRT ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 และแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าทรัพย์สิน 4 โครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 4,300 ล้านบาท ได้แก่ 1. ห้องเย็นโครงการเจดับเบิ้ลยูดี แปซิฟิค (ส่วนขยายเพิ่มเติม) บนถนนสุวินทวงศ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ของกลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 2,708 ตารางเมตร 2. คลังสินค้าโครงการ TIP 8 บนถนนเลียบคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ บริเวณบางนาตราด จังหวัดสมุทรปราการ ของบริษัท ทิพย์โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 4 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 34,693 ตารางเมตร 3. ถังเก็บสารเคมีเหลว จำนวน 61 ถัง ปริมาตรความจุถังรวมประมาณ 85,380 กิโลลิตร และคลังสินค้า จำนวน 3 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 16,726 ตารางเมตร โครงการ SCC บนถนนสุขสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรปราการ ของบริษัท สยามเฆมี จำกัด (มหาชน) และ 4. คลังสินค้าโครงการสวนอุตสาหกรรมบางกะดี บริเวณจังหวัดปทุมธานี ของบริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 14,600 ตารางเมตร
การเพิ่มทุนและลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินใหม่ดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานของผู้จัดการกองทรัสต์ AIMIRT ที่ต้องการผลักดันขนาดทรัพย์สินและรายได้ของกองทรัสต์เติบโตต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ โดยมีเป้าหมายลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial) ที่มีศักยภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเป็นที่ต้องการของผู้เช่า
ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งนี้ จะส่งผลให้ขนาดทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์เติบโตแตะระดับ 6,400 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า นับตั้งแต่การเข้าลงทุนครั้งแรก มั่นใจส่งผลดีต่อการเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยทรัสต์และสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนได้ในระยาว
นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ทรัพย์สินทั้งหมดล้วนมีจุดเด่นและมีมาตรฐานการก่อสร้างระดับเวิลด์คลาส อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ จึงมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศเข้ามาใช้บริการเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาทิ
กลุ่มบริษัทไทยออยล์ ปิโตรนาส และเอสโซ่ เป็นต้น ซึ่งผู้เช่าเหล่านี้ล้วนเป็นผู้นำอุตสาหกรรมและมีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคง นอกจากนี้ทรัพย์สินที่ทรัสต์ AIMIRT จะเข้าลงทุนเพิ่มเติม ยังมีการกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย ช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้จากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
การลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้เป็นการตอกย้ำศักยภาพของผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ที่ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือของเจ้าของทรัพย์สินรายใดรายหนึ่ง จึงเปิดกว้างโอกาสในการสรรหาและคัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพดีและมีศักยภาพเพื่อให้กองทรัสต์เข้าลงทุนและจัดหาประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมทั้ง 4 โครงการครั้งนี้ เป็นการลงทุนในทรัพย์สินจากเจ้าของทรัพย์สินรายเดิม 2 โครงการ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายทรัพย์สินให้แก่กองทรัสต์ในการลงทุนครั้งแรก ได้แก่ กลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทิพย์โฮลดิ้ง จำกัด และในขณะเดียวกันก็มีการเสาะหาทรัพย์สินจากเจ้าของทรัพย์สินรายใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ กลุ่มบริษัท สยามเฆมี จำกัด (มหาชน) และบริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด เพื่อมาร่วมเป็นพันธมิตรใหม่
นางสาวญาณิชศา ชาติวุฒิกอบกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ทรัพย์สินที่ทรัสต์ AIMIRT จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมเป็นทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูง มีอัตราผู้เช่าพื้นที่เต็ม 100% และมีการกระจายความเสี่ยงของการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของรายได้ให้กับกองทรัสต์อย่างมีเสถียรภาพ โดยภายหลังการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าอัตราผลตอบแทนในปีแรกจะอยู่ที่ระดับ 0.8188 บาทต่อหน่วย (อัตราผลตอบแทนตามประมาณการงบกำไรขาดทุนของกองทรัสต์ตามสมมติฐานสำหรับรอบระยะเวลา 12 เดือน (1 ก.ค. 2562 ถึง 30 มิ.ย. 2563) ซึ่งเชื่อมั่นว่ากองทรัสต์จะสามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอได้ในระยะยาว
ส่วนผลการดำเนินงานของทรัสต์ AIMIRT นับตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์ถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก โดยล่าสุด กองทรัสต์ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เป็นครั้งที่ 4 ในรอบปีนี้ ที่อัตรา 0.1985 บาทต่อหน่วย ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 3 ครั้งก่อนหน้านี้ จึงทำให้กองทรัสต์อนุมัติจ่ายเงินปันผลไปแล้วรวมทั้งสิ้น 0.7674 บาทต่อหน่วยนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย