"ก่อนหน้านี้ที่ข้าพเจ้าได้เข้าพบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และ กลต.ได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนในการติดต่ออดีตผู้บริหาร EARTH เพื่อเข้ารับฟังคำชี้แจงจาก กลต. โดยข้าพเจ้าได้นัดอดีตผู้บริหาร EARTH ตามที่ กลต. แนะนำ ซึ่งอดีตผู้บริหาร EARTH และข้าพเจ้าได้ทำหนังสือแจ้งขอเข้าพบเพื่อรับฟังคำชี้แจงเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อเข้ารับฟังคำชี้แจงตามตารางนัดหมายที่ตกลงกันไว้ คือ วันที่ 8 มีนาคม 2562 ต่อมาทาง กลต. มีหนังสือมายังข้าพเจ้าเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 ว่าทาง กลต. ไม่มีคำชี้แจงใดๆ ให้แก่ข้าพเจ้าและอดีตผู้บริหารบริษัท ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่า กลต. มีเหตุผลอันใดจึงยกเลิกกำหนดการนัดหมายตามที่ได้ตกลงกันไว้"
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ กลต. มีหนังสือกล่าวโทษและปลดผู้บริหาร EARTH โดยกล่าวโทษอดีตผู้บริหารว่าไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงเป็นนิติกรรมอำพรางสร้างหนี้เทียม บัดนี้บริษัทได้ชี้แจงสถานะของหนี้เทียมที่เกิดจากคดีความที่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญาทางการค้าอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง ไม่มีพฤติกรรมอำพรางสร้างหนี้เทียมแต่อย่างไร ทั้งนี้หนี้บางส่วนยังถูก EY ในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการจัดให้อยู่ในเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7 ไม่มีพฤติกรรมสร้างเจ้าหนี้เทียมแต่อย่างไร
นอกจากนั้น ช่วงก่อนหน้านี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ยื่นเอกสารต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อชี้แจงกรณีหนี้เทียมของบริษัท ว่ากรณีเรียกร้องสิทธิในการชำระหนี้ของบริษัทจีนคู่ค้าของ EARTH นั้น คู่ค้าที่เรียกร้องสิทธิเป็นบริษัทในประเทศจีนเป็นคู่ค้าของ EARTH จริง มีการทำธุรกรรมซื้อขายถ่านหินที่ประเทศจีนมากกว่า 5 ปีแล้ว ปัจจุบันยังมีการค้าขายกันอยู่ การที่บริษัทคู่ค้าจีนมาตั้งสาขาในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในการขอรับชำระหนี้ตามกฎหมายและกระบวนการตามแผนฟื้นฟู บริษัทที่ทำการฟ้องร้องเป็นบริษัทจากประเทศจีน ถ้าเจ้าหนี้จีนไม่ขอยื่นใช้สิทธิ์นี้ หลังจากแผนฟื้นฟูกิจการผ่าน เจ้าหนี้จีนก็จะไม่ได้รับการชำระหนี้แต่อย่างไร
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัท EARTH ไม่เคยยอมรับหนี้ที่คู่ค้าจีนเรียกร้อง ได้มีการเจรจาโต้แย้งและไกล่เกลี่ย ในท้ายที่สุดคู่ค้าจีนส่วนใหญ่ได้ถอนฟ้องและไม่เกิดความเสียหายแก่บริษัท ทั้งนี้มีเพียงคู่ค้าบางส่วนที่ฟ้องร้องขอรับการชำระหนี้และถูก EY ในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการจัดอยู่ในเจ้าหนี้กลุ่มที่ 7
ดังนั้น ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นสามัญ EARTH ข้าพเจ้ามีความประสงค์ต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมและเผยแพร่ผลของคดีความให้สาธารณชนได้รับรู้ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า กลต. ได้แสดงความไม่เป็นธรรมต่ออดีตกรรมการบริหารทั้ง 11 รายโดยการกล่าวโทษและปลดจากกรรมการบริษัท ซึ่งบางส่วนเป็นเพียงกรรมการอิสระได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้นให้เป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นในการตรวจสอบ และไม่มีส่วนร่วมในการบริหารแต่อย่างไร
อีกทั้งมีคำสั่งศาลล้มละลายกลาง โดยศาลมีคำสั่งให้เข้าฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 โดยปรากฏข้อความตามคำสั่งศาลว่า "กรณีมีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ยื่นคำร้องขอโดยทุจริตจึงเห็นสมควรให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้"
จึงเป็นที่ปรากฏอย่างแน่ชัดว่าอดีตผู้บริหารทั้ง 11 ราย ไม่มีเจตนากระทำการตามที่ กลต. กล่าวโทษ เรื่อง กรณียินยอมให้ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจำนวน 26,000 ล้านบาท เพื่อลวงไม่ให้ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้รู้รายละเอียดที่แท้จริงของหนี้สินแต่อย่างไร อีกทั้งศาลล้มละลายกลางยังได้ช่วยไกล่เกลี่ยเจ้าหนี้ที่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและตกลงกันได้อย่างน่าพอใจ จนท้ายที่สุดมีการถอนฟ้องและบริษัทได้แจ้งข่าวผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ให้ผู้ถือหุ้นทราบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 ซึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่บริษัท คู่ค้า ผู้ถือหุ้นรวมถึงเจ้าหนี้อื่นต่างใด แต่ กลต. ก็ยังกล่าวโทษต่ออดีตผู้บริหารทั้ง 11 รายซึ่งมีความขัดแย้งกับคำสั่งศาลและบันทึกการไกล่เกลี่ยที่ศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 การกระทำของ กลต.ดังกล่าวทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย เพราะขาดกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินกิจการของบริษัท อีกทั้งทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้
การกระทำดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและจากการที่ข้าพเจ้าได้สอบถามอดีตผู้บริหารและได้ทราบว่า อดีตผู้บริหารก็ได้ดำเนินคดีแจ้งความร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ "แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต" ต่อนายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในการกล่าวโทษอดีตกรรมการทั้ง 11 ราย ซึ่งกองปราบปรามได้สอบสวนและได้ส่งเรื่องที่อดีตผู้บริหารได้แจ้งความร้องทุกข์ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้ติดตามความคืบหน้าต่อไป
ส่วนการออกข่าวอันเป็นเท็จและให้ร้ายแก่บริษัท บริษัทก็ได้ดำเนินการฟ้องอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาแก่นักข่าวจำนวน 2 คดี กล่าวคือ คดีหมายเลขคดีดำที่ อ. 290/2562 และคดีหมายเลขดำ อ. 476/2562 ซึ่งได้แจ้งข่าวผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เพื่อให้ธุรกิจของ EARTH สามารถประกอบธุรกิจได้ดังเดิมและเจริญเติบโตตามแผนธุรกิจของบริษัท กลุ่มผู้ถือหุ้นจึงเห็นสมควรว่าอดีตกรรมการทั้ง 11 ราย เหมาะสมที่จะบริหารธุรกิจต่อไป เพราะผลงานในอดีตได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีผลกำไรต่อเนื่องทุกปีและจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน ในเมื่อข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่ได้เป็นจริงแต่อย่างใด จึงเชื่อได้ว่า กลต. มีเจตนากลั่นแกล้งอดีตกรรมการทั้ง 11 ราย ดังนั้นข้าพเจ้าและผู้ถือหุ้นจะได้นำเสนอวาระพิเศษในการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2562 เพื่อลงมติให้อดีตกรรมการทั้ง 11 รายกลับมาบริหารงานและเป็นตัวแทนในการตรวจสอบในการบริหารงาน
จึงมายื่นหนังสือต่อ DSI ในวันดังกล่าว เพื่อขอชี้แจงและขอความเป็นธรรมให้แก่ผู้บริสุทธิ์ คือ กรรมการทั้ง 11 ราย และขอให้ดำเนินคดีต่อนายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ที่ลุแก่อำนาจเพราะดำเนินการปลดอดีตผู้บริหารทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด และสร้างความเสียหายให้แก่ธุรกิจและนักลงทุนในวงกว้าง