สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย – กว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อใหม่ เป็นเด็กวัยรุ่น

อังคาร ๑๒ มีนาคม ๒๐๑๙ ๑๖:๐๓
ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มีอายุโดยเฉลี่ยน้อยลง โดยส่วนมากพบในกลุ่มคนที่อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงานต้น ๆ1 ซึ่งหลายคนในกลุ่มเหล่านี้ยังไม่เคยตรวจหาว่ามีการติดเชื้อและไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อแล้ว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.วินัย รัตนสุวรรณ สาขาวิชาโรคติดเชื้อและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และนายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า "สาเหตุของการติดเชื้อเอชไอวีที่พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่น คือ การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ซึ่งเด็กวัยรุ่นที่ติดเชื้อส่วนมากมีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้วว่า การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการได้รับเชื้อเอชไอวี แต่หลายคนก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทและได้รับเชื้อมา ผู้ปกครอง หรือญาติผู้ใหญ่ที่มีลูกหลานที่อยู่ในวัยเสี่ยงต้องคอยย้ำเตือนให้พวกเขาป้องกันและตระหนักถึงเรื่องนี้ "สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยแม้จะไม่เลวร้ายหากเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง เพราะมีผู้ได้รับเชื้อรายใหม่ทุกปี เฉลี่ยปีละประมาณ 5,000-6,000 คนต่อปี (หรือเฉลี่ยคือวันละ 17 คน) เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ผู้ป่วยจะต้องกินยาตลอดชีวิต หากหยุดกินเชื้อไวรัสก็จะกลับมาแบ่งตัวและแพร่เชื้อสู้ผู้อื่นได้"

ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า "วิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือ การใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ มีการแนะนำให้ใช้ยาต้านเอชไอวีสำหรับป้องกันการติดเชื้อหากมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง ประกอบด้วย ยา 2 ประเภท คือ PrEP (pre-exposure prophylaxis) และ PEP (post-exposure prophylaxis)"

PrEP คือการใช้ยาต้านเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ชายหรือหญิงที่ทำงานบริการทางเพศ การไม่ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ มีคู่นอนที่เชื้อเอชไอวีโดยเฉพาะที่ยังไม่ได้รับการรักษา เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และใช้ยาเสพติดชนิดฉีดและใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้ที่จะใช้ยาป้องกันแบบ PrEP นี้จะต้องกินยาทุกวัน มาพบแพทย์และเจาะเลือดตามนัด รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

PEP คือการใช้ยาต้านเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีที่สงสัยว่าตนอาจได้รับเชื้อเอชไอวี หรือมีภาวะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับคนแปลกหน้า เกิดอุบัติเหตุจากอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางรั่ว หรือถุงยางหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ โดนเข็มตำ โดนมีดบาดและสัมผัสเลือดจากของบุคคลอื่นที่ไม่ทราบผลเลือด ปรึกษาเรื่องการใช้ยาป้องกันชนิด PEP นี้กับแพทย์โดยทันที

ผศ. นพ.วินัย ยังกล่าวว่า ทั้งนี้ ผู้ที่กินยาป้องกันจะต้องตระหนักว่ายาสามารถป้องกันได้แค่การติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่สามารถป้องกันการความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม หรือการตั้งครรภ์ เป็นต้น ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการรักษาและยาต้านเอชไอวีทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารมีชีวิตอยู่ได้นานยิ่งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเหล่านี้จะต้องกินอย่าให้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอไปตลอด

1 อ้างอิง: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

ภก. วีรวัฒน์ มีแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และการเข้าถึงยา บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า "เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ด้วยการวิจัยและพัฒนายาต่าง ๆ รวมถึงยาต้านเอชไอวี โดยเราได้ตระหนักถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เราจึงอยากช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถเข้าถึงการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้เรากำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งอยู่ในการศึกษาวิจัยระยะที่ 2 ในประเทศไทยอีกด้วย"

ศ. พญ. ศศิโสภิณ กล่าวเสริมว่า "การติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรคที่ใช้เวลาในการดำเนินโรคยาว ผู้ที่ติดเชื้อระยะแรกจะไม่มีอาการ จึงทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนได้รับเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้ ซึ่งวิธีเดียวที่สามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้คือ การตรวจเลือดเท่านั้น โดยจะตรวจได้หลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยง 2 สัปดาห์ขึ้นไปจากการตรวจเลือดวิธีทั่วไป หากสงสัยว่าตนอาจได้รับเชื้อควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที ปัจจุบันสามารถตรวจได้ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ สำหรับบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ก็สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองรับรอง หรือสามารถโทรปรึกษาสายด่วนที่หมายเลข 1663"

เกี่ยวกับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เชื่อว่าสุขภาพที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการมีชีวิตที่สดใส สังคมเจริญรุ่งเรืองและมีการพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผล ตลอดเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันมุ่งมั่นในการสร้างสุขภาพที่ดีของผู้คนไม่ว่าจะอายุเท่าใดหรืออยู่ในช่วงอายุใด ในฐานะบริษัทด้านการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดและมีธุรกิจกระจายอยู่มากที่สุดทั่วโลก จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะนำจุดเด่นในด้านการมีเครือข่ายและองค์กรขนาดใหญ่เพื่อเจตนารมณ์อันดี ในการพัฒนาการเข้าถึงและการสร้างชุมชนที่มีสุขภาพที่ดีขึ้น ด้วยการมีสุขภาพที่ดี ทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย และสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับทุกคนและทุกแห่งหน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน หลอมรวมจิตใจรวมเข้ากับวิทยาศาสตร์ และความชาญฉลาดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพื่อมอบวิถีการมีสุขภาพที่ดีแก่มนุษยชาติ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO