ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯเผยคนไทย ป่วยตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองสูงเป็นอันดับ 1

พุธ ๒๐ มีนาคม ๒๐๑๙ ๑๗:๔๙
ราชวิทยาลัยอายุแพทย์แห่งประเทศไทย เผยคนไทยป่วยตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองเป็นอันดับ 1 ของประเทศและเป็นสาเหตุทำให้คนไทยพิการและเสียชีวิต ปัจจุบันป้องกันได้โดยลดปัจจัยเสี่ยงและรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด คนที่รับการศึกษาน้อย มีสภาวะหูเสื่อม มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้ในอนาคต

ศ.พญ.นิจศรี ชาญณรงค์ กรรมการบริหารราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้สูญเสียการทำงานอย่างเฉียบพลัน เป็นสาเหตุความพิการและเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ พิการ ปีละ 2.5 แสนรายต่อปีและเสียชีวิตจำนวน 5 หมื่นรายต่อปี โดยให้สังเกตอาการที่เรียกว่า FAST ประกอบด้วย 1. F: Face หน้าเบี้ยว 2. A: arm แขน ขา อ่อนแรง 3. S: Speech พูดไม่ชัด และ 4.T: Time เกิดขึ้นทันใด และ 30 เปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยจะพิการระยะยาว แต่หากผู้ป่วยมารักษาเร็วภายใน 4.5 ชั่วโมงโอกาสพิการจะลดลง

โรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน พบประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ มักเกิดกับหลอดเลือดในสมองหรือหลอดเลือดใหญ่บริเวณคอ ที่ผนังหนาตัวขึ้น เกิดหลอดเลือดตีบและอุดตัน มักพบในผู้มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ หรือไขมันในเลือดสูง หรือการมีลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือดสมอง ในรายโรคหัวใจบางชนิด เช่น ลิ้นหัวใจพิการ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด เกิดลิ่มเลือดลอยอยู่ในกระแสเลือดแล้วอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน และ สาเหตุอื่น ๆ เช่น หลอดเลือดอักเสบจากโรคภูมิต้านทานผิดปกติ หรือจากยาเสพติด การได้รับความกระทบกระเทือนที่หลอดเลือด การให้ยาละลายลิ่มเลือด ได้ผลดีในรายมาถึงโรงพยาบาล ภายในเวลา 4.5 ชั่วโมง ปัจจุบันมีการใช้อุปกรณ์พิเศษดึงลากลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมอง ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญและยังมีการรักษาอื่น เช่น การให้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน, ยาลดระดับไขมันในเลือด เป็นต้น

2.โรคหลอดเลือดสมองแตกหรือเลือดออกในสมอง พบประมาณร้อยละ 20 ส่วนใหญ่เกิดจากโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นมานาน และควบคุมได้ไม่ดี ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดสมองผิดปกติ โป่งพองหรือเปราะง่าย หรือผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ เมื่อมีภาวะหลอดเลือดสมองแตก ทำให้มีเลือดออกในเนื้อสมองหรือชั้นใต้เยื่อหุ้มสมอง และเกิดภาวะสมองขาดเลือดและสูญเสียการทำงานเฉียบพลัน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงของโรค มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนปกติทั่วไป อาการข้างเคียงที่พบได้ เช่น ชาครึ่งซีก ตาข้างใดข้างหนึ่งมองไม่เห็นหรือมองเห็นภาพครึ่งซีกของลานสายตาหรือเห็นภาพซ้อน ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและหมดสติ

การรักษาระดับความดันโลหิตให้เหมาะสม หรือให้ยาแก้ไขภาวะเลือดออกง่าย แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อลดความเสียหายต่อสมอง และรักษาชีวิตผู้ป่วย การควบคุมรักษาปัจจัยเสี่ยงของโรคอย่างสม่ำเสมอ คุมความดันโลหิต ให้น้อยกว่า 140/90 มม.ปรอท. การเต้นของหัวใจและระดับไขมันและระดับน้ำตาล การงดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์, รับประทานผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด และอาหารที่มีไขมันสูง, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 – 40 นาทีต่อวันจำนวน 3 -5 ครั้งต่อสัปดาห์ พบแพทย์ตามนัดและรับประทานยาสม่ำเสมอและ ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองไม่ควรรอดูอาการควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ด้าน รศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง กรรมการบริหารราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า โรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง จากการประชุม Alzhimer's Association International Conference 2017 (AAIC 2017) ที่จัดขึ้น ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษล่าสุดเมื่อ 2 ปีก่อน พบว่า คนที่ได้รับการศึกษาน้อยและผู้ที่มีสภาวะหูเสื่อม มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะสมองเสื่อม และกลุ่ม คือผู้ป่วยซึมเศร้า ซึ่งปัญหาในสังคมไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การอยุ่คนเดียวเพิ่มโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อม สาเหตุสำคัญของสมองเสื่อมคือเซลล์สมองตายไปก่อนเวลาอันควรพบได้ร้อยละ 60-70 ของอาการสมองเสื่อม รองลงมาคือสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมองในรายเป็น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาจจะผสมกันทั้ง 2 อย่าง สาเหตุอื่น ๆ ที่พบน้อย ได้แก่ สมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสัน เป็นต้น ปัจจุบันรักษาเพียงแบบประคับประคองเท่านั้น เพียงร้อยละ 5-10 สามารถหาสาเหตุชัดเจนที่แก้ไขได้ เช่น ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์, การขาดวิตามินบี 12, โพรงสมองคั่งน้ำ, ภาวะซึมเศร้า, ยาบางชนิดที่รบกวนการทำงานของระบบประสาทและดื่มเหล้าจัด

ยังไม่มียารักษาโรคสมองเสื่อมให้หายขาดได้ การลดปัจจัยเสี่ยงของ โดยแบ่งออกตามอายุดังนี้ คือ วัยเด็ก การศึกษาน้อย คือปัจจัยเสี่ยงจนถึงอายุ 15 ปี, วัยกลางคน ความดันโลหิตสูง,โรคอ้วน,โรคหูตึงและวัยผู้สูงอายุ โรคซึมเศร้า, โรค เบาหวาน, ไม่ออกกำลังกาย,สูบบุหรี่ และการไม่เข้าสังคม ดังนั้นการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ สามารถจะทำได้ตั้งแต่วัยเด็ก ให้มีการศึกษาที่เหมาะสมตามเกณฑ์ การรักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดทั้งหลาย เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ในวัยหนุ่มสาว การ แก้ไขโรคหูตึง โรคซึมเศร้าในวัยกลางคน การปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำ เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 - 5 ครั้ง การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นต้น. การพูดคุย พบปะผู้อื่นบ่อย ๆ การเข้าชมรมผู้สูงอายุ พยายามมีสติและฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลาช่วยลดการเกิดสมองเสื่อมได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ