อาการบาดเจ็บที่รักษาโดยการฉีด PRP
1. บาดเจ็บเรื้อรัง Chronic Tendon Injuries เช่น เอ็นข้อศอกด้านนอก , เอ็นหน้าเข่า , เอ็นร้อยหวาย , รองช้ำ , เอ็นขาหนีบ , เอ็นสะโพก
2. การบาดเจ็บของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ แบบฉับพลัน เช่น กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ( มักพบในนักกีฬาฟุตบอล กล้ามเนื้อน่อง , กล้ามเนื้อต้นขานอก )
3. กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม
4. ข้อเข่าเสื่อม
5. การผ่าตัดบางชนิด เช่น การผ่าตัดซ่อมเอ็นหัวไหล่ เป็นต้น
การบาดเจ็บส่วนเอ็น ที่สามารถรักษาโดยการฉีด PRP
- เอ็นอักเสบ ที่ข้อศอกด้านนอก Tennis Elbow ( Common Extensor Tendinosis )
- เอ็นหน้าเข่าอักเสบ Jumper's Knee ( Patellar Tendinosis )
- เอ็นร้อยหวายอักเสบ Achilles Tendinosis
- รองช้ำ Plantar Fasciitis
- เอ็นอักเสบ ที่ข้อศอกด้านนอก Tennis Elbow ( Common Extensor Tendinosis )
- เอ็นอักเสบ ที่ข้อศอก
- เอ็นอักเสบข้อพับเข่าด้านหลัง Hamstring Tendons
- เอ็นอักเสบขาหนีบ Adductor Tendons
- เอ็นอักเสบสะโพก Gluteal Tendons
ข้อจำกัดในการฉีด PRP
- ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง, ติดเชื้อ, โรคผิวหนังบางประเภท
- โรคการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- คนไข้ที่กินยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด
- โลหิตจาง
- ตั้งครรภ์
ขั้นตอนในการเตรียมตัวการเตรียมตัวมาฉีดคือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยถึงแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากเป็นเลือดของตัวเอง ซึ่งมีข้อระวังอยู่ว่าถ้าเกิดอาการป่วยอยู่ขอให้รักษาหายดีก่อนเพราะอาจจะมีเชื้อโรคอยู่ในกระแสเลือดเนื่องจากเป็นเลือดของเราเอง
ทั้งนี้การฉีดเกร็ดเลือดกับการฉีดยามีความแตกต่างกัน คือหากเป็นการรักษาโดยฉีดยาจะเป็นการรักษาแบบปลายเหตุ ช่วยลดแค่อาการหรือบรรเทาลง แต่ถ้าเป็นการฉีดเกร็ดเลือดจะเป็นการรักษาแบบต้นเหตุเพราะเนื่องจากเกร็ดเลือดนั้นจะช่วยไปสมานแผลและซ่อมแซมกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่บาดเจ็บได้
บทความโดย : นายแพทย์ วรายศ ตราฐิติพันธุ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ถนนแจ้งวัฒนะ