นายวิทวัสกล่าวต่อไปว่า กองทุน ABPIF เป็นการลงทุนในสัญญาโอนผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่มีรายได้หลักมาจากการทำสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสัญญาโอนผลประโยชน์ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 จะสิ้นสุดลงใน เดือนกันยายน 2562 ในขณะที่ สัญญาโอนผลประโยชน์ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 จะมีอายุคงเหลือจนถึงปี 2565 ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ABPIF มีการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 4.0561 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 9.14% ต่อปี
"สำหรับมุมมองต่อธุรกิจโรงไฟฟ้ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการปรับโครงสร้างการผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต่างชาติอย่างจีนและญี่ปุ่น มองว่าไทยเป็นฐานการผลิตที่น่าสนใจ อีกทั้งสถาบันการเงินเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศมีนโยบายสอดรับกับรัฐบาลที่จะสนับสนุนการเข้ามาลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ดังนั้นจึงมีแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งส่งผลในเชิงบวกต่อการบริหารกองทุน ABPIF ให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว" นายวิทวัสกล่าว
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้น ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน ABPIF สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888