นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในเดือนเม.ย. 2562 คาดจะแกว่งตัวในกรอบระดับ1,620 – 1,670 จุด เนื่องจาก ส่วนใหญ่ยังคงรอติดตามผลสรุปประเด็นสำคัญ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ผลสรุปคะแนนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการจากสำนักงานกกต. ซึ่งจะต้อง รับรองผลการเลือกตั้ง 95% ให้ได้ก่อนวันที่ 9 พ.ค.หลังจากนั้น 15 วันจะมีการเรียกประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาฯ ผู้แทนราษฎร์และประธานวุฒิสภา หลังจากนั้นจึงลงคะแนน 2 สภา รวมเสียง 750 เสียง เพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดจะได้นายกฯ ใหม่ราวปลาย มิ.ย.ดังนั้นการ จับขั้วรัฐบาลจะเห็นชัดเจนในช่วงต้น พ.ค.
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ที่ต้องติดตามใน เม.ย.คือ ความคืบหน้าการเจรจาการค้า สหรัฐ – จีน ที่คาดจะได้ข้อยุติใน เม.ย.และประเด็น Brexit ที่สภาอังกฤษจะต้องหาข้อสรุปให้ได้ ก่อน 12 เม.ย.หรือ 22 พ.ค.นี้
ส่วนผลประกอบการ บจ.ในไตรมาส1/62 ประเมินว่า ภาพรวมมีโอกาสฟื้นตัวจากแรงหนุนกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่จะกลับมากำไรจากสต็อกน้ำมันราว 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่กำไร กลุ่มธนาคารคาดจะกลับมาขยายได้จากไตรมาส 4/61 แม้ว่าสินเชื่อช่วง 2 เดือนแรกยังทรงตัว หรือลดลง 0.35% แต่ภาระกันสำรองและค่าใช้จ่ายน่าจะปรับตัวลดลง
"กลยุทธ์การลงทุน เม.ย.นี้ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน ดัชนี SET มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,620 – 1,670 จุด โดยได้แรงหนุนจากช่วงจ่ายการเงินปัน ผลของหุ้นกลุ่มธนาคาร และ SCC รวมถึงรอประเมินคะแนนเสียงของพรรคการเมืองหลังจากผ่านช่วงเลือกตั้งซ่อม แนะนำทยอยซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนหลังเลือกตั้ง เช่น AMATA, BBL, CK, STEC, WHA หุ้นที่ผลบวก จาก MSCI ปรับใช้ NVDR ในการคำนวณดัชนี MSCI Thailand เช่น DTAC, CENTEL, INTUCH, RATCH และเก็งกำไรหุ้นที่คาดกำไรไตรมาส 1/62 เติบโตดี เช่น BAY, BDMS, BH, CPF, DTAC, ERW, KTC, ROBINS, RS, SAWAD" นายอภิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม SET Index ดัชนี SET สิ้น มี.ค.62 ปิดที่ระดับ 1,638.65 จุด ปรับลดลง 0.90%จากเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โดยต่างชาติ ขายสุทธิ 1.63 หมื่นล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ส่วนสถาบันซื้อสุทธิ 5.7 พันล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1.19 หมื่นล้านบาท ทิศทางการลงทุนทรงตัวหลังจากคะแนนเลือกตั้ง สส.เขตของพรรคการเมืองระดับแกนนำยังคงสูสีกัน
นอกจากนี้ภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาดัชนี MSCI World Index ปรับเพิ่มขึ้น11% หลังจากสหรัฐเริ่มเจรจาการค้ากับจีนและราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามภาวะ เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัว ส่งผลให้เฟดปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐปีนี้ลงสู่ระดับ 2.1% จากเดิมคาดที่ 2.3% และ ECB ก็ได้ลดคาดการณ์ GDP ยูโรโซนปีนี้ลงสู่ระดับ 1.1% จากเดิมคาดที่ 1.7%
ด้านภาพรวมการส่งออก ก.พ. ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยังชะลอตัวติดลบ ส่งผลให้ช่วง 3 สัปดาห์แรก มี.ค.62 จากรายงาน EPFR Global Data มีเม็ดเงินไหลเข้า ลงทุนในกองทุน Investment Grade Bond รวม 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกองทุนหุ้น Emerging Market มียอดไหลออกสุทธิ -2.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนภาพการลดความผันผวนในสินทรัพย์เสี่ยงตลาดเกิดใหม่