KS-Jefferies มั่นใจสภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ถดถอย ยันเศรษฐกิจไทยยังไปต่อจากตัวเลขการบริโภคที่ดีขึ้น เชื่อศักยภาพตลาดหุ้นไทยเป็นรองแค่อินโดฯ แนะลงทุนหุ้นกลุ่มพาณิชย์ได้ประโยชน์สูงสุดหลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่และหุ้นกลุ่มแนวโน้มการดำเนินงานดี

อังคาร ๐๙ เมษายน ๒๐๑๙ ๑๑:๔๖
บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทยและJefferies เผยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแต่ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจจะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้ายังไม่สูงมาก โดยเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% และจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหากเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง

ส่วนประเด็นข้อพิพาททางการค้าคาดว่าสหรัฐฯและจีนน่าจะบรรลุข้อตกลงได้เพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยและการเติบโต GDP ทั้งสองประเทศจะยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ได้แก่ 6%-6.5% สำหรับประเทศจีนและ 2.0-2.5% สำหรับสหรัฐฯ อีกทั้งการเติบโตค่าแรงในสหรัฐฯยังอยู่ในระดับสูงที่ 3.4% เทียบค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 3% ซึ่งถือว่าการเติบโตค่าแรงในระดับนี้ยังไม่มีผลที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด กล่าวโดย Mr. Sean Darby - Global Head of Equity Strategy จาก Jefferies & Co Inc. ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี "KS Investment Outlook - Thailand's Disinflationary Boom Still Playing Out" เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยและแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งจัดโดยหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เร็วๆนี้

นอกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อตามที่กล่าวข้างต้น Mr. Sean Darby ยังระบุอีกว่าพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทน (Search for yield) ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันการลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยมองว่าหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible bond) จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในปี 2562 เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านราคาต่ำกว่าหุ้นทุน และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีหากตลาดทุนมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากหุ้นกู้แปลงสภาพในประเทศไทยไม่เป็นที่แพร่หลายนัก มองว่ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ (REIT) มีลักษณะคล้ายกับหุ้นกู้แปลงสภาพ โดยมีความเสี่ยงต่ำ มีความแน่นอนสูงในกระแสเงินสด รวมทั้งยังมีผลตอบแทนแบบหุ้นทุนอีกด้วย

สำหรับมุมมองของ Mr. Sean Darby ต่อตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองประเทศอินโดนีเซียมีศักยภาพสูงสุด รองลงมาคือประเทศไทย ส่วนฟิลิปปินส์มีศักยภาพต่ำสุด โดยมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซียในปีที่แล้ว ได้ช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบลงอย่างมากและอาจจะมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดอินโดนีเซีย

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ไทย จุดเด่นคือความแข็งแกร่งงบการเงินโดยประมาณ 35% ของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่มีการกู้ยืมและครึ่งหนึ่งของบริษัทจดทะเบียนมีค่าความแข็งแกร่งในเชิงเครดิต (Altman Z-score) ที่ดีมาก สำหรับฟิลิปปินส์นั้น มองว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและการให้สินเชื่อที่ผ่านมามีความร้อนแรงเกินไป ทำให้ประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบันมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มหาชน ระบุยังคงมุมมองเศรษฐกิจไทยยังคงมีการเติบโตในระดับปานกลางที่ 3.8% และ 4.0% ในปี 2562-63 แม้ว่าเราได้ปรับลดประมาณการการส่งออกและการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่จะได้รับการชดเชยจากการบริโภคที่ปรับดีขึ้น ตามทิศทางของรายได้เกษตรกรที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

ในส่วนทิศทางนโยบายการเงินของไทย เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินกำลังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินเป็นหลัก ตามด้วยการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อ และ กนง. จะพยายามเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) เมื่อภาวะเศรษฐกิจเอื้ออำนวย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ทั้งนี้ ด้วยท่าทีที่ต่างกันระหว่าง Fed และ ธปท. จึงเชื่อว่าแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะยังมีอยู่

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มหาชน ระบุเป้าหมายดัชนี SET Index ในปีนี้ยังอยู่ที่ 1,750 จุด คาดการณ์กำไรของตลาดหุ้น (Market EPS) อยู่ที่ 12.8% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราเติบโตของกำไรสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 23.7% กลุ่มสื่อสาร 20.3% และกลุ่มพลังงาน 13.6% โดยในส่วนของกลุ่มสื่อสารมาจากแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาที่ลดลงเพื่อสะสมกำไรไว้ลงทุนระบบ 5G ส่วนกลุ่มพลังงานนั้นมาจาก ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากอุปทานน้ำมันที่เริ่มหายไปจากมาตรการลดกำลังการผลิตน้ำมันของ OPEC

ทั้งนี้มองกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่จะได้อานิสงค์จากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่หรือมีแนวโน้มการดำเนินงานที่ดี ดังนี้

- กลุ่มพาณิชย์/ Commerce (CPALL ราคาเป้าหมาย 82 บาท /BJC ราคาเป้าหมาย 60 บาท) ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้น ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจากรัฐบาล รวมทั้งโอกาสที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างจังหวัดหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2019และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

- กลุ่มปิโตรเคมี/Petrochemicals (SCC ราคาเป้าหมาย 528 บาท) เนื่องจากภาพรวมธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีทิศทางที่ดีขึ้น ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มลดลง และภาพรวมกำไรที่แข็งแกร่งจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีแรงหนุนมาจากกระแส e-commerce ด้วยสถานะผู้ผลิตชั้นนำของ SCC ด้านบรรจุภัณฑ์ในตลาดอาเซียน

- กลุ่มรับเหมาโยธา/Contractor (STEC ราคาเป้าหมาย 30.10 บาท) โดยคงมุมมองเป็นบวกจาก 1) จำนวนงานในอนาคตที่แข็งแกร่ง 2) backlog ในมือที่อยู่ในระดับสูง และ 3) ราคาเหล็กที่ลดลง

- กลุ่มโรงไฟฟ้าดั้งเดิม/Conventional Power (BGRIM ราคาเป้าหมาย 34.50 บาท) มีปัจจัยบวกจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง (ทั้งก๊าซและถ่านหิน) และค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทและการขยายตัวของกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๕๐ รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๑๖:๑๔ ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๑๖:๑๓ Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๑๖:๑๐ ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๑๖:๕๒ โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version