โดยความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ได้อยู่ในขบวนการกำลังทดสอบระบบก่อนใช้แรงดันจริง (Cold Commissioning) โดย Power Transmission and System Control ("DPTSC") ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานและไฟฟ้า (Ministry of Electricity and Energy; MOEE) เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากการทดสอบโดย MOEE และผู้รับซื้อไฟฟ้า (Electric Power Generation Enterprise; EPGE) เสร็จสิ้น คาดว่าโครงการจะสามารถเริ่ม COD เฟสที่ 1 ขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์DC ภายในไตรมาสที่1 นี้อย่างแน่นอน และจะทะยอยก่อสร้างเฟสที่ 2, 3 และ 4 ให้แล้วเสร็จต่อไปตามลำดับ โดยได้รับสัมปทานเพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built-Operate-Transfer) ระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐ 0.1275 USD / kWh ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 10% นอกจากนี้บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% โดยมองว่าโครงการมินบูเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดี มีศักยภาพ โดยจะมุ่งมั่นพัฒนาให้โครงการมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350,000,000 kWh/ปี รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 217,256 ครัวเรือน สอดคล้องกับความปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น คาดการณ์อัตราการเติบโตความต้องการการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยถึงร้อยละ 11.7 ต่อปี อีกทั้งการเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าของเมียนมามีเพียงแค่ร้อยละ 34 ณ ปี 2558 คาดว่าการพัฒนาด้านพลังงานเพื่อให้การเข้าถึงไฟฟ้าของประชาชนที่อัตราการเติบโตดังกล่าว จะทำให้การเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 87 ภายในปี 2573
นอกไปจากนี้ยังกล่าวถึง โครงการล่าสุดที่เพิ่งปิดจ๊อบไป สำหรับโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV จำนวน 489 คัน ให้แก่ ขสมก. กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ได้ทำการส่งมอบเสร็จสิ้นและได้รับเงินจากขสมก. เมื่อเดือนก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทยังรับได้สัมปทานเป็นผู้ดูแลงานบำรุงรักษาและซ่อมแซมรถเมล์ NGV ตามสัญญาจ้างเป็นระยะเวลา 10 ปี อีกด้วย
บริษัทได้มีการวางแผนในการขยายตัวทางด้านธุรกิจยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการจัดซื้อจัดเช่าของ ขสมก. ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกันนี้ได้จัดตั้ง 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท แพนเทอรา มอเตอร์ส จำกัด และ บริษัท สปาร์ตัน ออโต้ ลีส จำกัด เพื่อเข้ามารองรับธุรกิจด้านยานยนต์โดยเฉพาะ
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/62 จะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน เพราะทางบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการส่งมอบรถเมล์ NGV มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วน 50% กับกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO รวมไปถึงธุรกิจก่อสร้างสถานี NGV และงานเดินท่อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานดังกล่าวและจะทยอยรับรู้รายได้จนหมดในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือประมาณ 200 ล้านบาท มั่นใจจะทำให้รายได้ Q1/62 เป็นไปตามเป้าหมาย ประมาณ 30%