"ความกังวลต่อความเสี่ยงสำคัญที่ได้พูดถึงในปีก่อนลดลง ความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐ-จีนที่ส่งสัญญาณดีขึ้น ราคาน้ำมันกลับมาอยู่ในรอบขาขึ้น ซึ่งช่วยลดแรงกดดันของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบบรรยากาศโดยรวมอีก อาทิเช่น กรณี Brexit หรือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ยังไม่ลงตัว" ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวในงานวิจัย
อาเซียน - ภาพรวมการเติบโตสำหรับภูมิภาคอาเซียนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากความแข็งแกร่งของการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งขับเคลื่อนโดยการใช้จ่ายในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย การเติบโตด้านการส่งออกชะลอตัวลง แต่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ผ่อนคลายลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน น่าจะช่วยให้การส่งออกในครึ่งปีหลังดีขึ้น แรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ โดยธนาคารกลางสำคัญหลายแห่ง (รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐ) มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น เราคาดว่าธนาคารกลางในภูมิภาคอาเซียน อาทิเช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าธนาคารกลางหลายแห่งมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย แต่เราไม่คิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2564 เป็นอย่างน้อย เว้นแต่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองจะทวีความรุนแรงขึ้น
ประเทศไทย – ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจไม่ตามกระแสการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศอื่น เศรษฐกิจไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความยืดหยุ่นรองรับความไม่แน่นอนทางการเมืองมาได้โดยตลอด เดือนพฤษภาคมนี้น่าจะมีพัฒนาการสำคัญเกิดขึ้นสำหรับประเทศไทย เราอาจจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นแต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ยังไม่สามารถสรุปได้อาจทำให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีความล่าช้าออกไป อีกทั้งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม และจากผลการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน จึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์รูปแบบการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะยังคงเฝ้าติดตามด้วยความระวัง
"ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะเฝ้าติดตามด้วยความระวังในระยะนี้ โดยรอความชัดเจนจากสถานการณ์ทางการเมือง เราคิดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ในการประชุมเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน" ดร. ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด มหาชน กล่าว
"เราไม่คาดว่าสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็นความไม่สงบ และเศรษฐกิจภายในประเทศของไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความยืดหยุ่น ดังนั้น เราไม่คิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินนโยบายการเงินตามทิศทางนโยบายผ่อนคลายของธนาคารอื่นทั่วโลก และไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 2-3 ปีนี้"
"อันที่จริง เรายังคงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศ" ดร. ทิม กล่าวเสริม
ในช่วงครึ่งปีหลัง เราคาดว่าความมีเสถียรภาพทางการเมืองที่น่าจะชัดเจนขึ้นจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับนโยบายการเงินให้เข้าสู่ภาวะปกติ เรายังคงคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ในไตรมาสที่ 3 การดำเนินนโยบายการเงินที่อาจจะแตกต่างจากทิศทางของโลกต้องมีปัจจัยภายในประเทศที่มีน้ำหนักเพียงพอ และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องสามารถอธิบายต่อตลาดให้เข้าใจได้
ผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นจากความไม่มั่นคงทางการเมืองต่อเศรษฐกิจ - ขณะนี้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองและความไม่แน่นอนของนโยบายยังไม่ส่งผลกระทบถึงปัจจัยพื้นฐาน ตราบใดที่ผลการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน เป็นเรื่องยากที่จะประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจของการเลือกตั้ง ความเข้มข้นของความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณว่าพัฒนาการทางการเมืองในปัจจุบันจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
"เรายังคงประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ร้อยละ 4 ในปีนี้ รวมทั้งคงประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ การบริโภคภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง (แม้จะหดตัวลงเล็กน้อยในระยะสั้นๆ ที่ผ่านมา)" ดร. ทิม กล่าว
เกี่ยวกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
เราเป็นกลุ่มธนาคารสากลชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจใน 60 ตลาดที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และให้บริการลูกค้าในอีก 85 ตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการค้า การลงทุนและการสร้างความมั่งคั่ง หลักการที่สืบทอดมาและค่านิยมองค์กรของเราสะท้อนอยู่ในพันธกิจของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่ว่า Here for good
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจำกัด มหาชน ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนและฮ่องกง นอกจากนี้ยังได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติในประเทศอินเดียอีกด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการอ่านบทความจากทีมนักเศรษฐศาสตร์ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.sc.com และติดตามสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้ทาง Twitter, LinkedIn และ Facebook