ศิริวัฒน์ เล่าว่า "ก่อนฟองสบู่แตกในปี40 ตอนนั้นผมทำธุรกิจด้วยความไม่รู้จักพอ พึ่งเงินคนอื่นจากการกู้ยืมสถาบันการเงินมาลงทุน แขวนตัวเองไว้บนความเสี่ยงตลอดเวลา ตอนนั้นทำลงทุนสร้างคอนโดขายที่เขาใหญ่ โครงการใหญ่โตมาก ก็มีเพื่อนๆนักธุรกิจด้วยกันมาซื้อ แล้วคอนโดเสร็จตอนปี40พอดีที่ฟองสบู่แตก คนที่ซื้อเขาจ่ายจองมัดจำกันมาเพียงคนละ10% จากราคาห้อง 30 ล้านบาทจ่ายมาแค่ 3 ล้าน แล้วเขาก็ล้มเหมือนกันยอมทิ้งเงินจองกันหมดแล้วไม่จ่ายต่อ ผมก็ต้องอุ้มทั้งโครงการ จนถูกฟ้องล้มละลาย วันที่ล้มละลายผมยังเหลือลูกน้องที่ฝากชีวิตไว้อีก 20 คนที่ผมต้องคิดว่าทำยังไงให้ทุกคนอยู่ได้ เราต้องทำอะไรซักอย่างให้มีกระแสเงินสดเข้ามา ตอนนั้นยังไม่คิดถึงขั้นปลดหนี้ได้ ขอแค่อยู่รอดให้ได้ก่อน ภรรยาเลยแนะนำให้ทำแซนวิช ขาย ตอนนั้นผมไม่ได้อยากขายเพราะยังคิดว่าผมเป็นนักธุรกิจนะ แล้วต้องกลายเป็นคนมายืนขายแซนวิชข้างทาง แต่เมื่อหลังชนฝาไม่มีทางไปก็ต้องทำ เลยก่อให้เกิด สิริวัฒน์ แซนวิช ที่ขายมาถึงปัจจุบันก็ 22 ปีแล้ว ช่วงแรกๆขายไม่ได้เลยเพราะแซนวิชผมขายชิ้นละ 25 บาทในสมัยนั้นถือว่าแพง เราก็ต้องกลับมาคิดถึงปัญหาว่าทำไมถึงขายไม่ได้ก็เพราะมันแพงนี้แหละ แต่ด้วยต้นทุนที่แพง เพราะเราใช้ขนมปังของยามาซากิ เราก็ต้องขายแพง ประกอบกับผมยึดมั่นและเชื่อในสินค้าที่ผมทำว่า ไม่ว่าคุณจะกินเมื่อไหร่จะต้องสดใหม่ สะอาดเสมอ จึงทำให้ผมยังคงขายความมีคุณภาพของสินค้า และมีความจริงใจต่อผู้ซื้อ และโชคดีที่ผมได้เป็นข่าวที่เป็นเศรษฐีตกสวรรค์ คนเลยเห็นใจทำให้ขายได้จนถึงปัจจุบันถึงแม้จะมีราคาแพงก็ตาม ตอนนี้ผมก็มีโครงการ ศิริวัฒน์ แซนวิช จูเนียร์ ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆนักเรียนที่ปิดเทอมมาขายเพื่อหารายได้ ซึ่งเด็กๆใช้เวลาขายวันละ2-3 ชั่วโมงก็ได้รายได้ประมาณ 800 บาทต่อวัน โดยผมมองว่าโครงการนี้นอกจากรายได้พวกเขายังได้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ ได้ทำอาชีพสุจริต หารายได้ช่วยเหลือผู้ปกครอง ถ้าเด็กทำตัวดี คนก็จะเมตตา และที่สำคัญกว่าเมตตา คือ คุณภาพ บริการ และมารตรฐาน ที่เรามี นอกจากนั้นผมยังตั้งใจที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับดินประเทศไทย ด้วยการนำสินค้าจาก OTOP 4 ดาว อาทิ ข้าวกล้องอบกรอบ น้ำเม่าเบอร์รี่ ข้าวกล้องห่อสาหร่าย มาขายภายใต้แบรนด์ศิริวัฒน์ด้วย เพื่ออุดหนุนเกษตรกรไทยด้วย ผมไม่เคยคิดสั้นเลยเพราะลูกผมยังเล็ก และผมเอาภรรยาค้ำประกันหนี้ถ้าผมตายภาระต้องตกไปที่ภรรยาแน่นอน ผมจึงต้องไม่ท้อทุกปัญหามีทางออกเสมอ จากอดีตยึดหลักคือทำธุรกิจให้ได้กำไรเยอะๆ คิดถึงตาตัวเอง นำมาซึ่งความโลภ และล้มเหลวในที่สุด ปัจจุบันมุมมองผมเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจเผื่อแผ่ไปสู่คนรอบข้างและคนในสังคมด้วย เรายอมขาดทุนเพื่อรักษาเครดิต เพราะคนที่รวยที่สุดคือคนที่มีเครดิตมากที่สุด"
ติดตามเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ"ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ" ได้ในรายการ Perspective วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2562 เวลา 21.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Live : PerspectiveTV