นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผู้ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดัน ผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "SMPC" เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทงวดไตรมาส 1/2562 มียอดขายอยู่ที่ 778.49 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมียอดขาย 1,206.76 ล้านบาท ลดลง 428.27 ล้านบาท หรือ 35.5% เนื่องจากในงวดนี้ปริมาณการขายลดลง 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอการซื้อของลูกค้าในแถบเอเชียใต้ เนื่องจากอัตราการแลกเปลี่ยนของสกุลเงินท้องถิ่นของลูกค้าต่อดอลล่าร์สหรัฐอ่อนลง และการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ขายใหม่ในตลาด อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าว เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยคาดว่าลูกค้าจะสั่งซื้อได้ตามปกติในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากแก๊สหุงต้มเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ประชาชนทุกครัวเรือนต่างต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตประจำวัน
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 84.92 ล้านบาท ถึงแม้กำไรจะลดลง 31.68 ล้านบาท (27.2%) จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 116.60 ล้านบาท ตามยอดขายที่ลดลง แต่ด้วย economy of scale และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 9.3% เป็น 10.3%
แนวโน้มธุรกิจคาดว่า ปริมาณขายจะยังคงโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนกำไรสุทธิให้เติบโตจากความต้องการถังแก๊ส LPG ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดเอเชียและแอฟริกา โดยเฉพาะบางประเทศในแถบเอเชียใต้ มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็น LPG และตามความต้องการที่สูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้นซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท
"ในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,450.57 ล้านบาท ตามปริมาณการขายที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทมองว่า ในปีนี้รายได้จะเติบโตได้ทั้งปริมาณและมูลค่า ตามความต้องการใช้ถังแก๊สที่คาดว่าจะขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดภูมิภาคเอเชียใต้และแอฟริกา นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งเดินหน้าลดต้นทุนการผลิต และเร่งหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้วย" นายสุรศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้รุกขยายตลาดภูมิภาคใหม่ๆ เช่นละตินอเมริกา โดยเริ่มเข้าไปเจาะตลาด 1-2 ปีที่ผ่านมา และเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ บริษัทได้เข้าร่วมงาน AIGLP เมืองลิมา ประเทศเปรู เพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ ของบริษัทให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตสินค้าที่เป็น High Value เพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้และเจรจากับพันธมิตรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อก่อสร้างโรงงานใหม่กำลังการผลิต 2.5 ล้านใบต่อปี มูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาแล้ว 70-80% คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ทั้งนี้ ในการเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในประเทศนั้น บริษัทมองว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้า ซึ่งบางประเทศอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีด้วย
"ตอนนี้ เรามองหาประเทศใหม่ๆ เพราะจะเป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะการช่วยลดต้นทุนการจัดส่งสินค้า และบางประเทศค่าแรงค่อนข้างต่ำ รวมถึงอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่าที่จะส่งออกเข้าไปยังประเทศนั้น เพราะบางประเทศมีกำแพงภาษีที่สูงมาก สำหรับการก่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในต่างประเทศคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในปีนี้แน่นอน" นายสุรศักดิ์ กล่าว
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 100 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ โดยนำระบบหุ่นยนต์มาใช้ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง