ดร.องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน ภายใต้ตราสินค้า KC เปิดเผยว่าไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทยังคงตั้งเป้าการผลิตข้าวโพดหวานประมาณ 150,000 ตัน เพิ่มจากยอดกำลังการผลิตของปีก่อนที่ 128,000 ตัน จากการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรเต็มกำลังในสายการผลิตข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋อง (Canned) ประเภทบรรจุถุงสุญญากาศ (Pouch) และประเภทแช่แข็ง (Frozen) พร้อมผลิตสินค้าใหม่สินค้าใหม่ มันหวานเผาสายพันธุ์ญี่ปุ่น ในกลุ่ม READY TO EAT เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถรับประทานได้ทันที
สำหรับสัดส่วนการขายตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 80% ในกลุ่มประเทศที่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในภูมิภาคต่าง อาทิ เอเชียตะวันออก กลุ่มทวีปยุโรปรวมไปถึงการเปิดตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการนำผลิตภัณฑ์ออกแสดงในงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ และยังคงสัดส่วนการขายในภายประเทศอยู่ที่ 20% เพิ่มจำนวนช่องทางการขายให้เพิ่มขึ้นผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจากแผนการดำเนินงานทั้งหมดจะผลักดันให้ยอดขายเติบโตได้อย่างดีตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 10%
ในขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส1/2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 3.4 ล้านบาท หรือ 64.3% รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 449.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว 2.2 % สาเหตุมาจากรายได้จากธุรกิจหลักคือการผลิตและจำหน่ายข้าวโพดหวานแปรรูปโดยเฉพาะสินค้าข้าวโพดหวานบรรจุถุงสุญญากาศเห็นได้จาก ออเดอร์ ที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ในเขตทวีปเอเชียที่เพิ่มขึ้น และรวมไปถึงรายได้จากการขายหอมหัวใหญ่ด้วย
ต้นทุนขายและอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเท่ากับ 46.7 ล้านบาท ลดลง1.9 ล้านบาท หรือ 3.9 % แม้ว่าการขายจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น 13,454 ตัน เพิ่มขึ้นเท่ากับ 996 ตัน คิดเป็นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว แต่ราคาขายต่อหน่วยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีการลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากมีการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง ทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นลดลงในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายเท่ากับ 33.3 ล้านบาท ลดลง 2.3 ล้านบาท หรือ 6.3 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน เกิดจากค่าขนส่งและค่าตอบแทนการขายที่ลดลงค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่17.6 ล้านบาท ลดลงเท่ากับ 2.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.9 เทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงเนื่องจากใน ค่าที่ปรึกษาหรือค่าบริการอื่นลดลง