ซีลิค (SELIC) โชว์ Q1/62 นิวไฮโชว์กำไรพุ่ง 5,394.3% แตะ 23.92 ลบ. กวาดรายได้โต 151.2% แตะ359.33 ลบ. ส่งผลจากการเข้าซื้อกิจการกลุ่ม พีเอ็มซี แถมบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเยี่ยม ด้านผู้บริหารหนุ่มไฟแรง "เอก สุวัฒนพิมพ์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผย จ่อขยายตลาดเพิ่มสินค้ากลุ่ม Specialty เตรียมเริ่มทดสอบ คาดแล้วเสร็จใน Q2/62 พร้อมย้ำกลยุทธ์ในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจทั้งธุรกิจกาวอุตสาหกรรมและธุรกิจสติ๊กเกอร์และฉลาก และมองหาโอกาสที่จะเติบโตผ่านการควบรวม (M&A) หรือการร่วมเป็นพันธมิตรไม่ว่าจะในรูปแบบของ Joint Venture หรือ Partnership เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) SELIC เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2562 โดยมีรายได้ไตรมาส1/2562 อยู่ที่ 359.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2561 มีรายได้อยู่ที่ 143.02 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 23.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,394.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2561 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 0.44 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 51.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 689.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตในทิศทางที่ดี
โดยบริษัทฯ ดำเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางการเติบโตผ่านการควบรวมและเข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC นำโดย บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด ในประเทศไทย และบริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ พีทีอี ลิมิเตด ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์และผลิตภัณฑ์ฉลากในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงสร้างการจัดการของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง โดยกลุ่มบริษัท พีเอ็มซี แมททีเรยลส์ ทั้งสองแห่งเป็นบริษัทย่อยของซีลิค และทำให้กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานในธุรกิจ 2 ประเภท คือ 1. ธุรกิจกาวอุตสาหกรรม และ2. ธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว ทำให้เป็นส่วนเสริมกัน (synergy)
"เราดำเนินการตามกลยุทธ์การเติบโตที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นมาจากการได้มาซึ่งอำนาจควบคุมในบริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด ในประเทศไทย และบริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ พีทีอี ลิมิเตด ในประเทศสิงคโปร์ และการควบรวมงบทำให้กลุ่มบริษัทมีรายได้และผลการดำเนินงานแยกออกเป็น 2 ส่วนธุรกิจ" นายเอก กล่าว
นอกจากนี้ แนวโน้มความต้องการตลาดกาวอุตสาหกรรม และตลาดสติ๊กเกอร์ ยังคงมีการเจริญเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในแถบทวีปเอเชีย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ช๊อปปิ้ง ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้งานสติ๊กเกอร์หรือฉลากเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มุ่งเน้นที่จะขยายการเติบโตไปกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ e-commerce กลุ่มบริษัทยังคงคาดว่าการเจริญเติบโตในกลุ่มนี้ จะส่งผลดีกับบริษัท ส่งผลให้กลุ่มบริษัทเติบโตต่อไปและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้