นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท มีการทำธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสามส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำบริษัทก้าวสู่การเป็น "โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี" (Global Holding Company) ผ่านกลยุทธ์ การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม การปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม
"สำหรับปี 2019 ถือเป็นปีที่สำคัญมาก สำหรับ สิงห์ เอสเตท เนื่องจากเป็นปีที่เรารับรู้รายได้จากการลงทุน และพัฒนาธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่พักอาศัยที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ อาคารสำนักงาน และธุรกิจโรงแรม ที่ลงทุนและพัฒนาในปีที่ผ่านมาจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้ บริษัทฯยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานในทำเลศักยภาพ การเปิดโครงการครอสโรด์ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และที่สำคัญที่สุด ในปี 2019 จะเป็นปีที่บริษัทฯ จะก้าวขึ้นเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี อย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เราทยอยนำธุรกิจต่างๆ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มจากธุรกิจที่พักอาศัย ที่ได้นำบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทแรก เมื่อต้นปี 2019 บริษัทฯได้จัดตั้งกองทรัสต์ SPRIME สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม และในครั้งนี้จะเป็นการนำธุรกิจโรงแรม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้ลงทุนโรงแรมและบริหารรีสอรท์ระดับพรีเมียม ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆทั่วโลก โดยมุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ ผ่านการบริการที่เป็นเลิศ การให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนธรรมชาติที่มีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ สิงห์ เอสเตท และเพิ่มความพร้อมในการลงทุนขยายธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ให้กับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เป็นการตอบสนองต่อโอกาสจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทฯในระยะยาว" นายนริศ กล่าว
นายนริศ กล่าวเพิ่มด้วยว่า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ UNWTO พบว่า ปี 2018 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 1.4 พันล้านคน เติบโตจากปี 2017 ประมาณ 6% โดยภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 343 ล้านคน โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตถึง 7% นอกจากนั้น UNWTO ยังคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวโลกจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอเชียที่ปี 2019 คาดว่าจะเติบโต 5-6% ในเชิงคุณภาพจากข้อมูลของ World Travel & Tourism Council หรือ WTTC พบว่านักท่องเที่ยวยังคงแสวงหาการสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น การเข้าถึงธรรมชาติที่สวยงามอุดมสมบูรณ์ และมุ่งเรียนรู้ศึกษาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในระยะยาวเหมาะสมที่จะลงทุนขยายธุรกิจ อีกทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ก็มีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมจำนวน 39 แห่ง 4,647 ห้อง ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลก เช่น สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และประเทศไทย เมื่อผนวกกับความพร้อมของเงินทุนที่จะขยายธุรกิจไปยังแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก รวมถึงการบริหารโรงแรมที่มุ่งสร้างการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน การเติบโตของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะสามารถนำพา สิงห์ เอสเตท สู่การเป็นโกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี ได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต
นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการลงทุนโรงแรมและการบริหารงานรีสอร์ท ผ่านการมอบประสบการณ์การพักผ่อนในสถานที่ที่มีคุณภาพท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความยั่งยืน ที่ซึ่งแขกของเราสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ และสามารถแบ่งปันช่วงเวลาความประทับใจได้ทันที เรามีการพัฒนากลยุทธ์ด้านความเป็นเลิศในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การท่องเที่ยวพักผ่อน ขับเคลื่อนการเติบโตทางการเงิน และรังสรรค์คุณค่าเพื่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมของเรา
เมื่อกล่าวถึงปรัชญาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน นายเดิร์ก เสริมว่า "บริษัทฯมีการดำเนินนโยบายและโครงการเพื่อความยั่นยืนในกลุ่มทรัพย์สินของบริษัทฯหลากหลายรูปแบบ โดยเราให้ความสำคัญกับการกำหนดทิศทางธุรกิจเพื่อการเติบโตและรักษาสมดุลในสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน"
เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลากหลายกลุ่มในจุดหมายปลายทางชั้นนำทั่วโลก อีกทั้งยังมีการเติบโตของทรัพย์สินอย่างต่อเนื่องในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา "หลังจากบริษัทฯก่อตั้งขึ้นในปี 2557 โดยเริ่มจากการเข้าไปบริหารจัดการโรงแรม 2 แห่งในประเทศไทย มีจำนวนห้องร่วม 227 ห้อง นับแต่นั้นมา บริษัทฯก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันเรามีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ 3 ภูมิภาค ประกอบด้วย ในยุโรป ที่สหราชอาณาจักร และในเอเซียแปซิฟิก คือ ไทย มัลดีฟส์ และฟิจิ และในแอฟริกา คือ มอริเชียส"
บริษัทฯ มีการแบ่งกลุ่มทรัพย์สินตามลักษณะการประกอบธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ได้แก่
- โรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง คือ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย
- โรงแรมในสหราชอาณาจักร จำนวน 29 แห่ง ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ Mercure และแบรนด์ Holiday Inn
- โรงแรม Outrigger ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมจำนวน 6 แห่งที่ดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ Outrigger
- โครงการ ครอสโรดส์ (CROSSROADS) เฟส 1 ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการบนเกาะจำนวน 3 เกาะ ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ประกอบด้วย โรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และโรงแรม Hard Rock Hotel Maldives รวมถึงศูนย์รวมการให้บริการ เพื่อการพักผ่อนและสิ่งบันเทิงในโครงการ Marina @ CROSSROADS และเกาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมอีก 1 เกาะ
เมื่อเอ่ยถึงแผนการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ภายใต้ร่มของเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท นายเดิร์ก กล่าวว่า "บริษัทฯ อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาแบรนด์ SAii ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับโรงแรมระดับกลางค่อนไประดับบน (Upper Mid-scale) โดยจะเริ่มใช้แบรนด์ดังกล่าวในการประกอบกิจการโรงแรมแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า "SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton" ที่ตั้งอยู่ในโครงการ CROSSROADS เฟส 1 ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็ยังมองหาโอกาสใหม่ๆที่จะทำให้สามารถทำธุรกิจโรงแรมระดับกลางค่อนไประดับบน (Upper Mid-scale) ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต"
ด้านนางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุปว่า ธุรกิจ 'โรงแรม' เป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก ที่สร้างรายได้แบบต่อเนื่องหรือที่เรียกว่า recurring income ให้กับสิงห์ เอสเตท โดยปี 2561 ธุรกิจโรงแรมสร้างรายได้ในสัดส่วนร้อยละ 34 ต่อรายได้ทั้งหมดจากจำนวนห้องพักของธุรกิจโรงแรมจำนวน 8 แห่ง และมีผลกำไรของธุรกิจโรงแรมโดยรวมจากจำนวนห้องพักรวมที่มีอยู่ 4,271 ห้อง จากโรงแรมและรีสอร์ท 37 แห่งทั่วโลก (ยังไม่รวมโรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์) การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะเป็นโอกาสในการขยายฐานธุรกิจในกลุ่มโรงแรม การลงทุนในโครงการใหม่ทั้งในรูปแบบของการซื้อกิจการ และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield Project) ด้วยความพร้อมด้านเงินทุน และบุคลากรที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เป็นบริษัทจดทะเบียนเต็มตัวแล้ว
"โดยในการนำ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ บริษัทวางแผนเสนอขายหุ้น IPO เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 40 ของทุนชำระแล้วของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ภายหลังการเพิ่มทุน ทั้งนี้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตท เช่นเดิม โดยสิงห์ เอสเตท มีนโยบายจะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ใน เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ในสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 โดยมี ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายที่จะเปิดเผยต่อไป ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะมีการเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ"
ทั้งนี้ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนที่สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดของการเสนอขายหลักทรัพย์จากแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ทาง www.sec.or.th และ www.shotelsresorts.com