นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ประกาศความตั้งใจขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจอาหาร โดยขับเคลื่อนผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ดังนั้น ในปีนี้จึงเป็น ปีแรกที่ "ดุสิต ฟู้ดส์" ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน THAIFEX World of Food Asia 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่มีผู้คนที่เกี่ยวข้องในแวดงอุตสาหกรรมอาหารให้ความสนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
"วิสัยทัศน์ของดุสิต ฟู้ดส์ คือ Bring Asia to the World หมายถึงการนำอาหารไทยและอาหารในภูมิภาคเอเชียออกสู่ตลาด เพราะการนำความเป็นไทยไปสู่โลกนั้น เป็นจุดยืนที่เข้มแข็งของกลุ่มบริษัทดุสิตธานีตั้งแต่เริ่มแรก สำหรับในส่วนของอาหารเอเชียนั้น ก็เพราะเรามี Foot Print ของธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชียเป็นหลัก ทำให้สามารถต่อยอดกันได้ โดยเราตั้งใจวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์จากดุสิต ฟู้ดส์ให้เป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Healthy) ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ (Natural) ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารเคมี (Organic) และผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนเกษตรกรและชุมชนพื้นถิ่น (Supporting farmers and local communities) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เรามั่นใจว่า การขยายไปสู่ธุรกิจอาหารอย่างเต็มรูปแบบของดุสิตธานี จะสร้างโอกาสในการลงทุน การสร้างผลตอบแทน และสร้างความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีอย่างยั่งยืนในอนาคต" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี กล่าว
นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า โมเดลธุรกิจของดุสิต ฟู้ดส์ จะสร้างการเติบโตจาก 2 ส่วน นั่นคือ organic ซึ่งเป็นการออกและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอง และ non-organic คือ การเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ ซึ่งนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ จะเน้นลงทุนในธุรกิจที่สามารถเชื่อมต่อ สร้างคุณค่า และยกระดับเพิ่มมาตรฐานให้กับธุรกิจที่มีอยู่เดิม โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างรายได้จากธุรกิจอาหารรวม 1,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี (2562-2564) และในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจอาหารไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ดุสิต ฟู้ดส์ ได้เข้าไปลงทุนด้วยการถือหุ้น 26% ในบริษัท เอ็นอาร์อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด หรือ NRF ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอาหารที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี ผลิตสินค้าส่งออก 25 ประเทศทั่วโลก ให้กับแบรนด์ต่างๆ กว่า 50 แบรนด์ และเข้าลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด หรือ ECC ซึ่งเป็นผู้นำให้บริการผลิตอาหารให้กับโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยกว่า 30 แห่ง โดยเข้าไปถือหุ้น 51% และวางแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 19% รวมเป็นถือหุ้น 70% ในต้นปี 2563
ส่วนการออกและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เองนั้น ดุสิต ฟู้ดส์ ได้วางแผนสร้างแบรนด์ "ของไทย" ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง ที่เน้นวางจำหน่ายในต่างประเทศเป็นหลัก โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงแรก จะเป็นภัตตาคารที่มีระดับ (White Table Cloth) ก่อน จึงขยายไปร้านอาหารทั่วไป (Food Services) เป็นต้น ทั้งนี้ ในเบื้องต้นนี้มีการผลิตออกมา 4 เมนู ได้แก่ แกงเขียวหวาน แกงมัสมัน แกงกะหรี่ และก๋วยเตี๋ยวแขก ซึ่งแต่ละเมนูจะมี 2 รูปแบบคือ พร้อมปรุง (Simmer Sauce, Ready to Cook) และแบบเข้มข้น (Concentrate Paste) ที่สามารถนำไปเพิ่มกะทิและน้ำตามสูตรที่ต้องการ หลังจากนั้น จะขยายเป็น 8 เมนู ได้แก่ ซอสผัดไทยและซอสปรุงรสต่างๆ เช่น ซอสพริกศรีราชา น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม ก่อนจะขยับเป็น 20 เมนู ในอีก 2 ปีข้างหน้า
"เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เราได้เชฟเดวิด ทอมสัน ชาวออสเตรเลีย ผู้หลงรักและชื่นชอบอาหารไทย และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของร้านอาหารไทยระดับมิชลิน สตาร์ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เข้ามาร่วมพัฒนาสูตรกับทางดุสิต ฟู้ดส์โดยเราวางสัดส่วนการทำตลาดแบรนด์ "ของไทย" ด้วยการส่งออกไปขายในต่างประเทศ 90% ขายในประเทศ 10% ซึ่งในตลาดต่างประเทศนั้น จะโฟกัสไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และรู้จักอาหารไทยดีอยู่แล้ว โดยจะเจาะตลาดทั้งออนไลน์กับออฟไลน์ ทำตลาดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นพ่อครัวและผู้ประกอบกิจการอาหาร หรือการบริการทำอาหารฟู้ดเซอร์วิส โดยจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าลอตแรกที่สหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะขยายไปยังยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส" กรรรมการผู้จัดการ ดุสิต ฟู้ดส์ กล่าว
สำหรับการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX World of Food Asia 2019 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคมถึง 1 มิถุนายน ที่อิมแพค เมืองทองธานี บูธ 11RR55 นอกจากจะเปิดตัวสินค้าแบรนด์ "ของไทย" ให้เป็นที่รู้จักกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังมีการสาธิตทำอาหารจากเชฟเดวิด ทอมสัน รวมถึงเชฟชั้นนำจากวิทยาลัยดุสิตธานี และสถาบันอาหารเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต เข้าร่วมงานด้วย