บ๊อชเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผยผลประกอบการปี 2561

อังคาร ๒๘ พฤษภาคม ๒๐๑๙ ๑๕:๓๙
อัตราเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์จากโซลูชั่นส์แห่งการเชื่อมต่อ อัตราเติบโตแกร่งด้วยโซลูชั่นส์อุตสาหกรรม 4.0

ยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 5 เป็น 1,340 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 32 พันล้านบาท) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การขับขี่แห่งอนาคต: เทคโนโลยีช่วยเหลือคนขับและระบบความปลอดภัย ช่วยปูทางไปสู่ระบบขับขี่อัตโนมัติ

บ๊อชฉีกกรอบการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำอย่างต่อเนื่องด้วยนวัตกรรมท้องถิ่น

บ๊อชมุ่งหน้าลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ในสำนักงาน 400 แห่งทั่วโลกให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2563

บ๊อช ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก ปิดงบการเงินประจำปี 2561 ด้วยยอดขายรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยมูลค่า 1,340 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 32 พันล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า "ปี 2561 เป็นปีที่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการด้านเทคโนโลยี IoT และโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อนซึ่งมีสูงมากในทุกประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้บ๊อชมุ่งพัฒนาโซลูชั่นส์ที่สำคัญเพื่อรองรับอุตสาหกรรม โดยได้ทำสำเร็จลุล่วงไปแล้วหลายโครงการ พร้อมกับริเริ่มโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง" มาร์ติน เฮยส์ ประธานกลุ่มบริษัทบ๊อช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว และเสริมว่า "นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นผลด้านบวกจากการนำนวัตกรรมตามแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ก่อนหน้านี้ โดยมีโครงการสำคัญต่างๆ ที่ช่วยให้โซลูชั่นส์ของเราเป็นที่จดจำและเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น โดยสรุปก็คือกลยุทธ์ของเราที่เน้นเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อนั้นเริ่มให้ผลตอบแทนที่ดีแก่บริษัทของเราแล้ว" บ๊อชมีพนักงานร่วม 10,000 คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในจำนวนนี้ พนักงาน 1,380 คนทำงานในส่วนของการวิจัยและพัฒนา

ผลเชิงบวกจากแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต

เนื่องจากมีหลายโครงการตามแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 ที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว บ๊อชจึงคาดการณ์ว่าจะมีบริษัทอีกหลายแห่งดำเนินรอยตามเส้นทางการเปลี่ยนแปลงไปสู่องค์กรดิจิทัล ทั้งนี้ บ๊อชได้สั่งสมประสบการณ์การผลิตมาหลายทศวรรษ บริษัทจึงอยู่ในจุดที่พร้อมจะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงคุณประโยชน์ของอุตสาหกรรม 4.0 ที่ใช้อยู่ในโรงงานผลิตแห่งต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค ระบบควบคุมในโรงงานที่ทำงานฉับไวขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มผลผลิตได้จนถึงขีดสุด โดยเพิ่มอัตราการเดินเครื่องได้สูงสุดถึงร้อยละ 15 เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้มากขึ้นกว่าเดิมร้อยละ 5-10 ลดระยะเวลาที่ระบบขัดข้องได้ถึงร้อยละ 20 ด้วยโซลูชั่นส์อุตสาหกรรม 4.0 ของบ๊อช

บ๊อชยังสนับสนุนกลุ่มลูกค้าโดยให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์เพื่อนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ เมื่อปีที่ผ่านมาในสิงคโปร์ บ๊อชจับมือกับวิทยาลัยสิงคโปร์โพลีเทคนิค ในการจัดตั้งห้องทดลองขึ้นในวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 และพิมพ์เขียวแผนแม่บทด้านสมาร์ทซิตี้ของสิงคโปร์ นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน บ๊อชยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับหน่วยงานพันธมิตรหลายแห่ง เช่น อาชีวศึกษาทวิภาคี (DVET) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ในเวียดนาม เพื่อพัฒนาหลักสูตรอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับการฝึกอบรมด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษา (TVET) ในเวียดนาม สำหรับในมาเลเซีย บ๊อชเป็นหนึ่งในห้าพันธมิตรด้าน Digital Transformation Lab (DTL) ขององค์การ MDEC (Malaysia Digital Economy Corporation) ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของมาเลเซีย เมื่อปีที่ผ่านมา MDEC เพิ่งเปิดตัว DTAP (Digital Transformation Acceleration Program) เพื่อนำความเชี่ยวชาญของแล็บ DTL เพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ ไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งช่วยให้บริษัทต่างๆ ในมาเลเซียมีระบบในการปรับตัวไปสู่ยุคดิจิทัล เพื่อรับประกันอนาคตของธุรกิจ พร้อมรักษาจุดเด่นด้านการแข่งขันทางการค้าด้วย

ยุคใหม่แห่งการขับเคลื่อน พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

ความปลอดภัยบนท้องถนนยังคงเป็นประเด็นที่น่าเป็นกังวลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ บ๊อชยังคงเล็งเห็นอุปสงค์ในระบบเบรกและโซลูชั่นส์ช่วยเหลือคนขับ อาทิ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบที่ช่วยเตือนให้รถอยู่ในเลนขับขี่ที่ถูกต้อง

อุปสงค์ต่อยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยรัฐบาลในประเทศต่างๆ ตระหนักและต้องการลดมลพิษจากการจราจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันอย่างจริงจัง บ๊อชจึงเห็นความจำเป็นว่าจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (e-mobility) เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนสำหรับการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ในภูมิภาค ความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ Pertamina Corporation ในอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ จะนำไปสู่การสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลายแห่งเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า และจะทำให้อินโดนีเซียพัฒนาไปใกล้กับเป้าหมายที่หวังให้ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 20 ของยอดขายยานยนต์ในประเทศทั้งหมดภายในปี 2568 ส่วนในเวียดนาม บ๊อชทำข้อตกลงกับผู้ผลิตรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของเวียดนามที่เติบโตเร็วสุด ในการผลิตชิ้นส่วน และดูแลธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่ รวมถึงซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่

โรงงานผลิตในประเทศต่างๆ ของบ๊อช มีความสำคัญต่อเครือข่ายการผลิตของบริษัททั่วโลก และมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุปสงค์ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้แพร่หลายทั่วโลก ตัวอย่างเช่น โรงงานของบริษัทในปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งโดยปกติจะผลิตแต่เครื่องมือช่าง ก็จะเริ่มผลิตแบตเตอรีสำหรับจักรยานไฟฟ้า (eBike) เพื่อป้อนตลาดโลกเนื่องมาจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

สร้างสรรค์เพื่อความก้าวหน้าและยั่งยืนในภูมิภาค

บ๊อชมุ่งมั่นพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้ก้าวล้ำฉีกกรอบเดิม โดยนำเทคโนโลยี IoT อัจฉริยะเข้ามาช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถก้าวผ่านไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้ หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ต้องการช่วยลดผลกระทบจากการจับปลามากเกินไป ซึ่งทำให้ประชากรปลาลดลง ฉะนั้น จึงย้ายพื้นที่อุตสาหกรรมให้มาอยู่บนบกแทน ชื่อของนวัตกรรมนี้คือ AquaEasy ซึ่งเป็นโซลูชั่นอัจฉริยะจากบ๊อชที่ใช้ประโยชน์จากเซนเซอร์และอัลกอริทึมเพื่อให้ช่วยเกษตรกรสามารถเพิ่มอัตราผลผลิตได้อย่างยั่งยืน นวัตกรรมนี้ยังช่วยให้สามารถตรวจวัดและติดตามการทำงานของพารามิเตอร์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์การบริหารจัดการการทำงานของบ่อน้ำต่างๆ ระบบนี้มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รวมอยู่ด้วย จึงช่วยให้เจ้าหน้าที่ในฟาร์มสามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญของการทำงาน เช่น การให้อาหาร คุณภาพของผลผลิต หรือแม้แต่การเก็บเกี่ยว "การทดลองใช้ระบบนี้ครั้งแรกที่อินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่า โซลูชั่นของบ๊อชนี้ สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างเห็นได้ชัด และยังช่วยให้กระบวนการวัดค่าต่างๆ เป็นไปโดยง่ายยิ่งขึ้น เกษตรกรในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในการพัฒนา AquaEasy ให้มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะนำไปดัดแปลงหรือปรับแต่งให้ใช้ได้กับธุรกิจหรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก" นายเฮยส์กล่าว

อีกนวัตกรรมหนึ่งที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่นคือ Bosch Intelligent Microgrid for Asia (BIMA) ซึ่งเป็นโซลูชั่นไมโครคอนโทรลเลอร์ที่สามารถจัดการและรวมเอาพลังงานจากหลายแหล่งเข้ามา เช่น จากแผงโซลาร์ แบตเตอรี หรือเครื่องให้กำเนิดพลังงาน เป็นต้น ช่วยให้เรามีแหล่งพลังงานที่เสถียรและไว้ใจได้ ส่วนขีดความสามารถด้านคลาวด์ บริษัทมีระบบที่ทำงานด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ สามารถวิเคราะห์ปริมาณและรูปแบบการใช้พลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ป้องกันไฟฟ้าดับและบริหารการใช้พลังงานจากแหล่งที่ประหยัดที่สุดได้ มีตัวอย่างหนึ่งจากการนำระบบไปใช้ครั้งแรกๆ ที่คลินิก Nimasi ในอินโดนีเซีย ซึ่งให้บริการสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกลที่ติมอร์ ปรากฏว่า คลินิกนั้นไม่ประสบภาวะไฟฟ้าดับอีกเลยนับตั้งแต่มีการติดตั้งระบบนี้

ภาพรวมของกลุ่มบริษัทบ๊อชในปี 2562: มาตรการด้านสภาพภูมิอากาศและปรับปรุงคุณภาพอากาศ

กลุ่มบริษัทบ๊อชคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปี 2562 ซึ่งแม้สภาพแวดล้อมโดยรวมของอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่สำคัญกับบริษัทจะไม่อำนวยนัก แต่บ๊อชก็คาดว่ายอดขายในปีนี้จะสูงกว่าระดับที่ได้ทำไว้ในปี 2561 เล็กน้อย ไม่ว่าภาพรวมระยะสั้นจะเป็นอย่างไร บริษัทก็จะยังคงพยายามทุกวิถีทางในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และมุ่งมั่นทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นให้ได้ "ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หากเราใส่ใจกับความตกลงปารีส (Paris Agreement) กันอย่างจริงจัง เราจะต้องได้เห็นการดำเนินการต่างๆ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแรงบันดาลใจระยะยาว การขับเคลื่อนจะต้องเกิดขึ้นในระยะสั้น" ดร.โวคมาร์ เดนเนอร์ ซีอีโอของกลุ่มบ๊อช กล่าวในงานแถลงข่าวที่เมืองเรนนิงเก็น ประเทศเยอรมนี "นอกจากนี้ เรายังมุ่งตอบสนองสาธารณชนที่ต้องการให้เมืองต่างๆ มีคุณภาพอากาศที่ดี ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรม เราหวังจะนำเสนอโซลูชั่นส์ด้านเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศด้วย"

นี่คือเหตุผลว่าทำไมบ๊อชจึงมุ่งมั่นและจริงจังที่จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แม้จะได้ทำสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง "เราจะเป็นองค์กรอุตสาหกรรมแห่งแรกที่จะบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยคาร์บอนเทียบเท่าเป็นศูนย์ (carbon neutrality) โดยใช้เวลาเพียงปีกว่าๆ" ดร. เดนเนอร์ประกาศ "ที่ทำการของบ๊อชกว่า 400 แห่งทั่วโลกจะบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยคาร์บอนเทียบเท่าเป็นศูนย์ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป" ขณะเดียวกัน บ๊อชได้เดินหน้ามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายเรื่องคุณภาพอากาศ "เราต้องการลดมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจราจร โดยขจัดให้เหลือศูนย์ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องมองไปไกลกว่าแค่ตัวถังรถยนต์" ดร.เดนเนอร์กล่าว ดังนั้น บริษัทจึงคิดที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยยึดเสาหลักแนวคิด 3 ด้านก็คือ การเน้นกิจกรรมที่พัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่ก่อมลพิษต่ำ การเน้นทำงานกับองค์กรปกครองท้องถิ่นในโครงการที่ช่วยให้การจราจรลื่นไหลต่อเนื่อง และการนำเอาระบบจัดการด้านการขับเคลื่อนของบริษัทไปใช้ในที่ต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO