นพ.เอกชัย เสถียรพิทยากุล อายุรแพทย์ระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2018 ระบุไว้ว่า ปัจจุบันมีผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกประมาณ 1,100 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่มากถึงปีละไม่ต่ำกว่า 7 ล้านคนทั่วโลก ประมาณ 890,000 คนเสียชีวิตจากการสูดดมควันบุหรี่มือสอง ทั้งนี้ นอกจากโรคมะเร็งปอดและโรคระบบทางเดินหายใจที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตในผู้ที่สูบบุหรี่ ยังมีผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 3 ล้านคน ที่เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด อาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น การไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่คือหนทางของการดูแลสุขภาพที่ดีในระยะยาว เพราะควันบุหรี่มีสารเคมีมากกว่า 7,000 ชนิดที่เป็นผลเสียต่อร่างกายแทบทั้งสิ้น การสูบบุหรี่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะปอดและหัวใจเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เมื่อสูบบุหรี่ไปนานๆ ปอดจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ ส่งผลให้เป็นโรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง และร้ายแรงจนเป็นโรคมะเร็งปอดได้ในที่สุด พิษของบุหรี่ยังเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งที่ปอด หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ ตับอ่อน อีกทั้งสารพิษในควันบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบลง อาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหัวใจขาดเลือดได้ เพราะฉะนั้นการเลิกสูบบุหรี่และไม่ยุ่งกับบุหรี่ตั้งแต่แรกคือ การดูแลปอดและหัวใจให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายที่มาจากพิษภัยของบุหรี่
พญ.พจนา จิตตวัฒนรัตน์ แพทย์อายุรกรรมโรคมะเร็ง โรงพยาบาลวัฒโนสถ กล่าวว่า ในประเทศไทยมะเร็งปอดพบบ่อยเป็นอันดับ 2 ในผู้ชาย และอันดับ 4 ในผู้หญิง และมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 โดยปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ การสูบบุหรี่ รวมถึงการสูบบุหรี่มือสอง คือ ไม่ได้สูบเองแต่ได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไอ เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ไม่มีแรง เบื่ออาหาร ปวดตามตัวหรือกระดูก นอกจากนี้แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง คือ ผู้สูบบุหรี่มากกว่า 30 pack year (คำนวณจากจำนวนซองที่สูบต่อวัน x จำนวนปีที่สูบเช่น 2 ซองต่อวัน 15 ปี = 2x15 = 30 pack year เป็นต้น) หรือผู้ที่เลิกสูบน้อยกว่า 15 ปี เข้ารับการตรวจ Low dose CT Chest (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอด) ปีละครั้งเพื่อการค้นหามะเร็งระยะแรก (Lung Cancer Screening) ทำให้พบมะเร็งปอดระยะแรกซึ่งมีโอกาสรักษาหายได้มากขึ้น ถ้าหากแพทย์ผู้รักษาสงสัยจะส่งตรวจโดยการเจาะเนื้อที่ปอดมาดูเพื่อยืนยันชิ้นเนื้อ หลังยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอด ก็จะมีการทำ CT หรือ PET/CT ร่วมกับ MRI สมองเพื่อวินิจฉัยระยะของโรค การรักษามะเร็งปอด หากเป็นระยะแรกจะใช้การผ่าตัดร่วมกับการฉายแสงและเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ขนาดของมะเร็ง และตำแหน่งของมะเร็ง หากเป็นระยะกระจายหรือที่เรียกกันว่า "ระยะที่ 4" จะใช้การรักษาด้วยยา ซึ่งมีทั้ง เคมีบำบัด ยาพุ่งเป้า (Targeted Therapy) หรือ ยากลุ่ม Immunotherapy คือ การให้ยาเพื่อให้เม็ดเลือดขาวกลุ่ม Cytotoxic T Cell ไปทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ใช้มากขึ้นในมะเร็งหลายชนิด ถึงแม้การรักษาจะดีขึ้นอัตราการมีชีวิตยาวนานมากขึ้น มะเร็งปอดยังถือเป็นการตายจากมะเร็งอันดับ 1 หากพบมะเร็งปอดระยะแรกมีโอกาสรักษาให้หายได้ ฉะนั้นจึงควรลด ละ เลิกสูบบุหรี่
นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ส่งผลให้เส้นเลือดเกิดความเสื่อมและตีบตันเร็วกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 10 - 15 ปี ที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงสูบบุหรี่ที่ได้รับยาคุมกำเนิดเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมากกว่าผู้หญิงทั่วไปเกือบ 40 เท่า และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10 เท่า ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มตามจำนวนบุหรี่ที่สูบ อีกทั้งการสูบบุหรี่ส่งผลต่อหัวใจโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันเลือดสูงขึ้น ที่สำคัญคือ สารพิษในควันบุหรี่ที่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและหัวใจ อย่างนิโคติน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจหดตัว กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น และสารพิษอีกชนิดที่มีความรุนแรงไม่แพ้กันคือ คาร์บอนมอนอกไซด์ เมื่อเข้าไปจับตัวกับเม็ดเลือดแดง กล้ามเนื้อหัวใจจะได้รับออกซิเจนน้อยลง หัวใจเต้นเร็วและทำงานหนักมากขึ้น ดังนั้นคนที่เลิกสูบบุหรี่นานกว่า 10 ปี โอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจจะเทียบเท่ากับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทันพิษภัยของบุหรี่และดูแลป้องกันหัวใจให้แข็งแรงคือสิ่งที่ควรตระหนักอยู่เสมอ
การเลิกสูบบุหรี่นั้นทำได้ไม่ยาก ขอเพียงใจที่มุ่งมั่น เพราะเพียงแค่เลิกสูบบุหรี่เพียงไม่กี่ชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือดจะลดลง สารพิษในร่างกายน้อยลงเช่นกัน ที่สำคัญเด็กที่พ่อแม่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาของหินปูนในหลอดเลือดแดงหัวใจมากกว่า 4 เท่า และมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบตันมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่พ่อแม่ไม่สูบบุหรี่ โดยมีเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้เลิกบุหรี่ คือ กำจัดอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ทั้งหมด อย่าเข้าใกล้คนสูบบุหรี่ เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดการความเครียดด้วยการไม่สูบบุหรี่ ช่วงแรกที่เลิกสูบบุหรี่อาจรู้สึกหงุดหงิด ให้สูดหายใจเข้าออกลึกๆ ดื่มน้ำให้มากๆ อาบน้ำให้สบายตัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้การกลับมามีสุขภาพดีก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป