นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า "ในช่วงเวลา 4- 5 ปีนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีทั้งกำไรมากที่สุดและในบางปีก็ขาดทุนมากที่สุด เป็นผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก เศรษฐกิจโลกอาจจะมีความผันผวนมากกว่านี้ในอนาคต ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ลดความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลก แต่จะพัฒนาให้ขายสินค้าในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น เราจะสร้างตลาดปลายน้ำใหม่ๆ (ผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้บริโภค D.I.Y.) ตลาดค้าปลีก และ ตลาดสินค้าไม้สำเร็จรูปทดแทนธรรมชาติ (Finished Products) การปรับโมเดลครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของวนชัย กรุ๊ป สามารถสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอและเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต โดยในปี 2565 ได้วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท"
เนื่องจากยอดขายของวนชัย กรุ๊ป กว่า 80% มาจากการส่งออก ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีผลกระทบการค้าขายทั่วโลก รวมไปถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ ทำให้ราคาขายสินค้าของเราลดต่ำลง ผลพวงปัญหานี้ยังทำให้จีนชะลอการผลิตอุตสาหกรรมไม้ และลดการซื้อไม้ยางพาราแปรรูปจากประเทศไทย โรงเลื่อยในประเทศไทยจึงชะลอการผลิตไม้ยางพาราที่หมดอายุจากการกรีด ทำให้วัตถุดิบในการผลิตไม้อัด Wood-based Panel หายไปจำนวนมาก ดังนั้นการวางโมเดลธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ จะเน้นเพิ่มการขายสินค้าในประเทศเป็น 50% จากเดิมที่มีเพียง 20% โดยผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Products) จะทำยอดขายในประเทศ 50% โดยขณะนี้บริษัทฯ กำลังพัฒนาบริษัทย่อยขึ้นมาใหม่เพื่อดำเนินการ โดยใช้ชื่อ "วนชัย วู้ดสมิธ" โมเดลนี้จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก "ตลาดปลายน้ำและตลาดค้าปลีกแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ Wood-based Panel ในประเทศไทยยังไม่เติบโตเหมือนในตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ จึงมีความตั้งใจจะพัฒนาตลาดแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติในธุรกิจก่อสร้างของไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศ เนื่องจากเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติทดแทนไม้จริงได้เป็นอย่างดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเมื่อเทียบกับ เหล็ก ซีเมนต์ และพลาสติก
นอกจากนี้ วนชัย กรุ๊ป ยังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี 4 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การบริหารวัตถุดิบไม้แบบครบทั้งสวนทั้งต้น 2. การพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่นไม้ OSB และ แผ่นวีเนียร์ 3. การทำธุรกิจพลังงานทดแทน ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวลและโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) และ 4. การทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ การบริหารวัตถุดิบไม้ยางพาราแบบครบทั้งต้นครบทั้งสวนนั้น จะทำให้ บริษัทฯ ลดต้นทุนไม้ได้มาก ไม่ต้องพึ่งพาเศษไม้จากอุตสาหกรรมโรงเลื่อยซึ่งจะมีปริมาณไม่สม่ำเสมอ ปัจจุบันสวนยางพาราที่มีไม้อายุเกินการกรีดยางได้แล้ว ยังไม่ถูกโค่นมีจำนวนมาก การใช้ไม้ของบริษัทฯ นั้น ส่วนกิ่งก้านหรือไม้ฟืนนั้นจะนำไปผลิตแผ่น MDF และแผ่น OSB ส่วนตรงกลางลำต้น หรือ ไม้ท่อนจะนำมาปอกเป็นแผ่นวีเนียร์ เศษจากการปอก วีเนียร์ก็จะนำไปทำปาร์ติเกิ้ลบอร์ด (Particleboard) และรากไม้ก็จะนำไปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล "วนชัย กรุ๊ป" จะเป็นผู้นำแห่งแรกในการพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่น OSB และ แผ่นวีเนียร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ในประเทศไทยทำให้สามารถใช้ไม้ยางพาราได้ทั้งสวนทั้งต้น สินค้าใหม่สองตัวยังมีราคาขายที่สูงที่สุดในกลุ่มสินค้าแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ Wood-based Panel โรงงาน OSB แห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีมูลค่าการลงทุน 2,300 ล้านบาท จะก่อสร้างเสร็จภายในปีนี้
นายวรรธนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ โดยวัตถุดิบก็คือเศษเปลือกไม้ที่เหลือจากการผลิตในโรงงาน และรากไม้ที่เหลือจากโค่นไม้ยางพาราที่หมดอายุ และ จะดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดชลบุรี และ จังหวัดสระบุรีด้วย นอกจากนี้ ยังได้เริ่มใช้พลังงานไฟฟ้าโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ที่โรงงานสระบุรีแล้วในปีนี้ มีกำลังการผลิต 3.5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมากเช่นกัน และ จะดำเนินโครงการโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ที่โรงงานชลบุรี และ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อไปด้วย การจัดตั้งบริษัทฯ ใหม่ "วนชัย โลจิสติกส์" ในปีนี้ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการด้านโลจิสติกส์รองรับการเติบโตด้านการขายสินค้าภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและให้บริการลูกค้าทั่วประเทศได้ดีสมบูรณ์ ควบคู่กับการลดต้นทุน ด้านนางสาวภัทรา สหวัฒน์ กรรมการ บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด บริษัทย่อยของวนชัย กรุ๊ป ระบุว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนาตลาดการค้าปลีก และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Products) โดยบริษัทฯ
มีสำนักงานใหญ่ที่สะพานพระราม 7 กรุงเทพฯ จัดตั้งให้เป็นศูนย์เรียนรู้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้ทดสอบและเรียนรู้การใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Products) ของบริษัทฯ นอกจากนั้น บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด จะเปิดร้านเรือธง (Flagship Store) ตามหัวเมืองใหญ่และสาขาอื่นๆเป็นลำดับต่อไป โดยจะมีทั้งแบบร้านค้าแบบสแตนด์อโลน (Standalone Store) และ ร้านค้าที่ร่วมกับพันธมิตร (Partner Store) เริ่มต้นด้วยการจับมือกับกลุ่มไดนาสตี้ ผู้นำในอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิค
"ภายในปี 2566 เราตั้งเป้าหมายจะมี 100 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมมีการขายออนไลน์ ซึ่งยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านบาท ตามการขยายตัวของสาขา ทั้งนี้ภายในสิ้นปี 2562 จะเปิดได้ 20 สาขาร่วมกับกลุ่มไดนาสตี้ คาดจะสร้างยอดขายในปีนี้จำนวน 300 ล้านบาท และภายในปี 2564 จะเปิดได้อีก 60 สาขา จะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท"
การเปิดตัวร้านค้า "วู้ดสมิตร (Woodsmith)" มีเป้าหมายที่จะพัฒนาสินค้าแบบใหม่ที่ตลาดยังไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้รับการตอบรับแล้วสินค้าของแบรนด์ "วนชัย" จะช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ได้ในราคาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการวางจำหน่ายสินค้าให้กับโมเดิร์นเทรดที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน ก็จะทำต่อไป ทั้งสินค้าภายใต้ชื่อแบรนด์ "วนชัย" และสินค้ารับจ้างผลิต (OEM)
อนึ่ง บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยเริ่มจากธุรกิจ โรงเลื่อยจักร ก่อนจะพัฒนาเป็นผู้ผลิตไม้อัด Wood-based Panel และ ก้าวมาเป็นผู้ผลิตแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ Wood-based Panel มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ Particleboard MDF Board OSB Laminate Flooring บานประตูไม้ HDF ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง ผลิตภัณฑ์ไม้พื้นและบัว และ ผลิตภัณฑ์ไม้พื้นบันไดและ ไม้ราวจับ บริษัทฯ มีกระบวนการผลิตสมบูรณ์แบบครบวงจร สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูง สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัยได้มาตรฐานโลก