นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ บริษัทหนึ่งในกลุ่มสถาบันการลงทุนจากประเทศอังกฤษ เปิดเผยถึง สภาวะความต้องการทองคำที่มีความต้องการสูงภายหลังความกังวลเรื่องสงครามการค้า ส่งผลให้ 'ทองคำ' กลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนได้ขยายมาเป็นสงครามเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ตลาดการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวน รวมถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ตัวเลขดัชนีการผลิตหรือ PMI และ GDP ที่เริ่มชะลอตัวลง นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาทองคำ
ตลอดจนการเกิด Inverted Yield Curve ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Recession หรือการชะลอเศรษฐกิจ ในอนาคต ล่าสุดประธานคณะผู้ว่าการระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve - Fed) นายเจอโรม
พาวเวลล์ หรือประธานเฟดได้ออกมากล่าวว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีนี้ตลอดจนอาจนำเครื่องมืออย่างการทำ QE กลับมาใช้อีกครั้ง หากสถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และที่ผ่านมาการลดดอกเบี้ยและการทำ QE มีผลทำให้ราคาทองคำปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมาแล้ว
"นับตั้งแต่ปลายปี 2018 มีข่าวว่ารัฐบาลจีน รัสเซีย และกลุ่มประเทศใน Emerging Markets เข้าซื้อสะสมทองเป็นเงินทุนสำรองเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าปริมาณทองคำสำรองของหลายประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี นี่คือสัญญาณว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นได้" นายณพวีร์ กล่าว
หากดูที่กราฟราคาทองคำตลาดโลก นับตั้งแต่ต้นปี 2016 ที่ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ ราคา 1,050 เหรียญ แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,400 เหรียญได้เลย โดยขึ้นไปทดสอบระดับดังกล่าวมาแล้วสองครั้ง ในช่วงกลางปี 2016 และต้นปี 2018 ถ้าหากการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้สามารถผ่าน 1,400 เหรียญไปได้ ราคาทองคำจะกลับมาเป็นขาขึ้นครั้งสำคัญในรอบ 3 ปี
"ทั้งนี้นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งประเมินได้ว่า หากยังยืดเยื้อหรือมีการตั้งกำแพงภาษีและเทคโนโลยีระหว่างกัน เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนสูง ซึ่งส่งผลดีต่อราคาทองคำ แต่ถ้าสถานการณ์สงบลง อาจจะมีการเทขายทองคำออกมา" นายณพวีร์ กล่าวทิ้งท้าย