นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยในงานสัมมนา KAsset Investment Forum : 2040 Get Ready for the World Ahead ว่าปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลกระทบระหว่างกันในทุกประเทศทั่วโลก ทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทยต่างต้องปรับตัว เพื่อให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมกองทุนรวม ซึ่ง บลจ.กสิกรไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของโลก (Megatrends) ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Technological Innovation) ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (Resource Scarcity) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและสังคม (Demographic & Social Change) จึงมุ่งพัฒนากลยุทธ์และนวัตกรรมการลงทุน ด้วยธีมการลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่สอดคล้องกับกระแส Megatrends เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนแบบยั่งยืนผ่านกองทุนรวม
นายวศินกล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ บลจ.กสิกรไทย ในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ การเฟ้นหาธีมการลงทุนที่สอดรับกับกระแสโลก โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับ Baillie Gifford บริษัทจัดการลงทุนสัญชาติสก็อตแลนด์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 100 ปี ออกกองทุน K-CHANGE ซึ่งมีธีมการลงทุนที่ต้องการสร้างผลเชิงบวกให้กับสังคม เพื่อช่วยให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิต และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากนักลงทุนได้มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมและโลกให้ดีขึ้น และยังได้เพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตการลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับ Allianz Global Investors เพื่อเตรียมออกกองทุนใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งเป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมกับกระแสที่กำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกได้ ผ่านวิธีการลงทุนแบบ Thematic Investing โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนในธีมที่หลากหลายและได้รับประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ธีมการลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอโดยจะนำธีมการลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เข้ามาแทนที่ธีมการลงทุนเดิมซึ่งมีราคาปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุด
"สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในครึ่งปีหลัง 2562 บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดโลกโดยรวมเติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยตัวเลขดัชนีชี้วัดภาคการผลิตของประเทศแกนหลักมีแนวโน้มอ่อนแอลง ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นทั้งจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่ยังมีความไม่แน่นอน และสถานการณ์ Brexit ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเด็ดขาด (Hard Brexit) ทั้งนี้ ธนาคารกลางประเทศแกนหลักยังคงส่งสัญญาณผ่อนคลายต่อนโยบายการเงินมากขึ้นเพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยปรับตัวลดลงตาม ทั้งนี้ ยังคงคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2562 ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเสถียรภาพของรัฐบาลที่ได้จะมีความสำคัญต่อภาวะการลงทุนในระยะถัดไป อีกทั้งการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ทดแทนการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากการค้าโลกที่เติบโตช้าลง ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2562 ที่ระดับ 1,750 จุด คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS ปี 2562) ที่ 14% Forward PE ที่ 16.1 เท่า และ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.4%" นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยกองทุนส่วนบุคคลมีตัวเลขเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับ 3 ธุรกิจ โดยเติบโตที่ 24.2% ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) รวมอยู่ที่ 1.34 ล้านล้านบาท โดยแยกเป็นรายธุรกิจในส่วนกองทุนรวมอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.75 แสนล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 1.53 แสนล้านบาท (ข้อมูลจาก บลจ.กสิกรไทย ณ 31 พ.ค. 2562)
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน