นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เอสเอ็มอีเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศ และจะยิ่งทวีบทบาทความสำคัญมากขึ้นในอนาคต แต่ข้อจำกัดทางด้านทรัพยากร ส่งผลให้เอสเอ็มอีต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สภาพสังคม กฎกติกาใหม่ของการค้าโลก รวมถึงภัยทางธรรมชาติ เอสเอ็มอีไทยจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยสู่การเป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี 4.0 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จึงให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ระดับฐานราก (Local Economy) ไปจนถึงเอสเอ็มอีที่มีขนาดใหญ่ โดยกระตุ้นให้เอสเอ็มอีในทุกระดับตระหนักถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ จากแนวคิดเดิม ๆ ไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ทันสมัยก้าวทันโลก รู้จักนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ กสอ. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความสามารถและมีศักยภาพ เพื่อช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวหน้าเติบโต เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจสู่ประเทศไทย 4.0 โดย กสอ. ได้บูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาสู่ Industry 4.0 ผ่านกลไกการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เช่น 1. ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (Industrial Transformation Center 4.0: ITC 4.0) ดำเนินการสนับสนุนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ยกระดับความสามารถ สร้างมูลค่าเพิ่มได้ในทุกระดับและพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์เหมือนเป็นผู้ช่วยทางวิศวกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับประกอบการ 2. InnoSpace (Thailand)บริษัทที่เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการสร้างและพัฒนาสตาร์ทอัพ โดยใช้แนวทาง National Startup Platform เพื่อพัฒนาและส่งเสริมStartup ของประเทศไทยให้ช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน โดยการบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการในทุกระดับและครอบคลุมทุกสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อให้ Startup ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาสตาร์ทอัพได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ราย ภายในปี 2565 3. Connected Industry โดยใช้แนวทางของ Three Stage Rocket Approach ในการส่งเสริมวิสาหกิจให้ใช้ระบบติดตามอัจฉริยะในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยผลสัมฤทธิ์ของโครงการสามารถสร้างผลิตภาพเพิ่มขึ้นกว่าร้อยกว่า 30 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนการผลิตกว่า 970 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานเครือข่ายร่วมดำเนินการประกอบด้วย ASAHI / DENSO / TOYOTA / DELTA / CoRE Network
"ท้ายที่สุดนี้ ในการขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่มีเทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์เป็นหลักในการเดินหน้าสู่อนาคตนั้น ไม่อาจประสบความสำเร็จได้จากเพียงการดำเนินการของภาครัฐฝ่ายเดียว แต่หากยังต้องอาศัยพลังความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกฝ่ายในรูปแบบกลไกของประชารัฐ ซึ่งประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคสื่อมวลชน และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิและยั่งยืนอย่างแข็งแกร่งต่อไป" นายกอบชัยกล่าว
ด้านนายจิระพันธ์ อุลปาทร ประธานกรรมการ บริษัท เครือสุมิพล จำกัด กล่าวว่า บริษัท สุมิพล เป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายเครื่องจักรกลและเครื่องมืออุตสาหกรรมคุณภาพสูง อีกทั้งยังให้บริการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้า โดยได้ขยายความร่วมมือไปยังองค์กรภาครัฐ เอกชนอื่น และภาคการศึกษา เพื่อยกระดับทักษะฝีมือและสร้างกำลังแรงงาน ทั้งนี้ จากการที่ภาครัฐได้ประกาศโครงการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Carridor) หรือ EEC เมื่อปี 2559 จึงมีการก่อตั้งสถาบันเทคโนโลยีการผลิตสุมิพล (Sumipol Institute of Manufacturing Technology) หรือ สถาบัน SIMTec ขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจ ดึงดูดการลงทุน และอบรมให้ความรู้บุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ 12 S-Curve สถาบัน SIMTec เป็นศูนย์ฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ให้แก่วิศวกร ช่างเทคนิค บุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา ตั้งบนเนื้อที่ 7 ไร่ โดยมีพื้นที่อาคารกว่า 7,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้องเรียน ห้องอบรม และห้องสัมมนาขนาดใหญ่ ครบครันด้วยเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการฝึกปฏิบัติจริง โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทผู้ผลิตชั้นนำของโลก เช่น ผู้ผลิตเครื่องมือเครื่องจักรและหุ่นยนต์ DMG, MOR, FANUC, NACHI ผู้ผลิตเครื่องมือวัดละเอียดความเที่ยงตรงแม่นยำสูง MITUTOYO เครื่องมือตัด / อุปกรณ์จับยึด SUMITOMO, OSG, A.L.M.T, BIG DAISHOWA, NABEYA(ERON) และอื่น ๆ
"สุมิพล มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาบุคลากรของชาติ โดยถือเป็นภารกิจที่สำคัญซึ่งจะเดินหน้าต่อไปควบคู่กับการดำเนินธุรกิจในด้านเครื่องจักรกลและเครื่องมืออุตสาหกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง" นายจิระพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย