นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในโลกการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเพื่อนทางธุรกิจ เพื่อร่วมคิด ร่วมพัฒนา ร่วมแชร์ประสบการณ์ในลักษณะ "คลัสเตอร์" ยิ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเกิดความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญตามแนวทางดังกล่าว โดยได้ดำเนินการพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น "คลัสเตอร์" แล้ว ถึง 97 กลุ่ม ทำให้สมาชิกมีแนวคิดในการพัฒนาทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรม รวมถึงการนำเอาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อรองรับเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 นอกจากการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสมาชิกคลัสเตอร์แล้ว ในด้านการส่งเสริมการตลาดนำการผลิต ก็นับเป็นสิ่งจำเป็นในยุคของการแข่งขันทางการค้าที่สูงขึ้น เพราะเมื่อผู้ประกอบการผลิตสินค้าแล้วไม่สามารถขายได้ ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกิจการของตน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของลูกค้า โดยการทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ในจำนวนน้อย ๆ วางจำหน่ายในตลาดเล็ก ๆ เพื่อศึกษาปฏิกิริยาการตอบรับของลูกค้า หากผลการทดสอบตลาดมีการตอบรับที่ดี ก็ค่อยตัดสินใจผลิตในจำนวนที่มากขึ้น แต่หากลูกค้ามีข้อคิดเห็นหรือข้อแก้ไข ผู้ประกอบการก็ควรนำมาวิเคราะห์และประมวลผล พร้อมปรับปรุงตามความต้องการของลูกค้า จึงจะสามารถวางจำหน่ายได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับงานแสดงและจำหน่ายสินค้า Cluster Day Fair 2019 ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24 – 28 มิถุนายน 2562 โดยมีคลัสเตอร์จากทั่วประเทศเข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 30 กลุ่ม รวมจำนวน 100 บูธ ประกอบด้วยสินค้าต่าง ๆ มากมาย อาทิ สินค้าเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ ของใช้ของตกแต่งบ้าน เซรามิก อาหารและเกษตรแปรรูป เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบูธเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าจากสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ กสอ. เข้าร่วมจำหน่ายสินค้าในราคาพิเศษ ส่วนบริเวณภายนอก ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายธุรกิจ Food Truck นำอาหารนานาชนิด มาจำหน่ายหมุนเวียนตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน และคาดว่าคาดว่าจะมีเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท
"การจัดงาน Cluster Day Fair 2019 ในครั้งนี้ จึงนับเป็นเวทีสำหรับการทดสอบตลาดให้กับสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการศึกษาแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคและเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับสมาชิก ได้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ยังเป็นการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และการสร้างตรา หรือแบรนด์สินค้าให้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น" นายจารุพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย