ทรีนีตี้ แนะกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทยเดือนกรกฎาคม 62 ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้านที่ 1,750 จุดและกรอบแนวรับที่ 1,680 จุด โดยเลือกหุ้นเด่นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นการบริโภค การจ่ายปันผลระหว่างกาล และราคายังคง Laggard

พฤหัส ๒๗ มิถุนายน ๒๐๑๙ ๑๓:๕๘
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2562 มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,680-1,750 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังรอติดตามความชัดเจนของปัจจัยสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.ท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเด็นสงครามการค้า ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอด G-20 โดยหากทรัมป์มีการเลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญฯ ออกไป ประเมินว่าไม่มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์อยู่แล้ว แต่หากมีการบังคับเพิ่มภาษีทันที ไม่ว่าจะในระดับ 10% หรือ 25% ก็ตามประเมินว่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงได้ 2.การประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2562 ซึ่งคาดว่าที่ประชุมจะมีมติต่ออายุการลดกำลังการผลิตวันละ 1.2 ล้านบาร์เรลออกไปจนกระทั่งถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อยและน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาน้ำมันดิบต่อไปได้ 3.ความเป็นไปได้ในการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ซึ่งทรีนีตี้ยังคงมีมุมมองเดิมต่อประเด็นนี้คือไม่ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้จะเริ่มต้นบริหารงานด้วยการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนรากหญ้าและเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้ออ่อนแอมากในช่วงหลัง 4.การประชุมของ ECB และ BoJ ในวันที่ 25 และ 29-30 กรกฎาคม 2562 ตามลำดับ โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั้งสองจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใน Statement ที่ออกมาไปในเชิงผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงถัดไป และ 5 การประชุม FOMC ซึ่งจะทราบผลในช่วงดึกคืนวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ตามเวลาบ้านเรา โดย ณ ขณะนี้นักลงทุนในตลาดได้ให้ความน่าจะเป็นถึง 100% แล้วว่า Fed จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากในที่ประชุมยังเห็นควรให้คงดอกเบี้ยไว้ อาจทำให้นักลงทุนผิดหวังจนเกิดแรงเทขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงได้

นายณัฐชาต กล่าวทิ้งท้ายว่ากลยุทธ์การลงทุนแนะนำขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้าน-แนวรับดังกล่าว โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ประกอบด้วย 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ ได้แก่ CPALL, BJC, ROBINS 2. หุ้นที่ได้ประโยชน์หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไป ได้แก่TCAP, S11 3.หุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล และมักปรับตัว Outperform ในช่วงไตรมาส 3 ของทุกๆ ปี ได้แก่ LH และ 4. หุ้นที่มี Valuation ถูกและราคายังคงLaggard ได้แก่ SCB, MINT

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๕๐ รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๑๖:๑๔ ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๑๖:๑๓ Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๑๖:๑๐ ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๑๖:๕๒ โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๑๕:๒๖ กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๑๕:๐๑ สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๑๕:๒๙ 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๑๕:๐๘ โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๑๕:๕๒ electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version