นายอานันท์กล่าวต่อว่า ตนเป็นคนเชิดชูและระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ เพราะเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่พูดคุยกับลูกตลอดเวลา และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกปฏิบัติตามโดยไม่มีการดุว่าหรือควบคุมบังคับ พี่น้องทั้ง 12 คนของตนสนิทสนมกันมาก และทุกคนอายุยืนยาว นอกจากนี้ตนก็โชคดีที่มีภรรยาและลูกที่น่าน่ารัก แม้ขณะนี้ภรรยาจะไม่สบาย ต้องเจาะช่องท้องและคอ แต่จิตใจยังดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอื่น และลูกสองคนก็มาช่วยดูแลแม่ตลอดเวลา "ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนมีบุญที่เกิดมาในครอบครัวอบอุ่น มีแม่ที่ดี มีภรรยาที่ดี มีลูกสาวที่ดี และลูกสาวอบรมสั่งสอนหลานสาวผม และและเหลนผมอย่างดี สิ่งเหล่านี้เป็นความผูกพันที่ผมเห็นมาตลอด" ตนจึงรู้สึกซาบซึ้งที่ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะหันมาคิดถึง "แม่" ที่เป็นคนธรรมดาๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยให้ลูกเป็นคนดี คนเก่ง และมีชีวิตที่งดงาม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีแต่อนุสาวรีย์ที่เชิดชูสถาบันต่างๆ
นายอานันท์กล่าวต่อว่า คนไทยและคนเอเชียมีความกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างดูดดื่มลึกซึ้ง มีโพลทำให้กลุ่มประเทศอาเซียน ถามผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานว่าทำไมจึงยังอยู่กับพ่อแม่ ผู้หญิงไทยตอบมากที่สุดว่า เพราะอยากดูแลพ่อแม่ เด็กรับใช้ในบ้านของตน ทุกคนส่งเงินเดือนครึ่งหนึ่งกลับต่างจังหวัดโดยที่พ่อแม่ไม่ได้เรียกร้อง พวกเขาทำด้วยความรักและหน้าที่โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย การสร้างพิพิธภัณฑ์แม่และพระเจดีย์เพื่อระลึกถึงแม่จะสามารถเป็นศูนย์กลางของความรักและความเมตตากรุณาของสังคมไทยได้
"ทุกคนระลึกถึงแม่ในใจ แต่แค่คิดถึงเฉยๆไม่พอ ถึงเวลาแล้วที่เราควรสร้างอะไรบางอย่างเป็นการรวมพลังรวมความรัก และสร้างความเมตตากรุณา ที่ผ่านมา เมืองไทยประสบเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียว มีความเกลียดชัง ความขัดแย้ง ความโกรธเคือ งความอาฆาตพยาบาท และไม่ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะแก้ได้ แต่สำหรับการร่วมใจกันรำลึกถึงเรื่องของแม่ ทั้งการเมือง ทหาร และนักธุรกิจต่างก็ปฏิเสธไม่ได้ ขอให้มาช่วยกันสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ให้เกิดขึ้นเป็นศูนย์กลางของความรัก และการดูแล เผื่อแผ่ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสันติภาพและยกเลิกความเกลียดชัง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อสังคมไทย" นายอานันท์กล่าวทิ้งท้าย