ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2562 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กันยายน 2562) อยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 - 119) โดยเพิ่มขึ้น 25.50% มาอยู่ที่ระดับ 109.44
- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศทรงตัวอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ใน Zone ร้อนแรงอย่างมาก (Very Bullish)
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนรายบุคคลเพิ่มขึ้นมาอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ อยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral) เช่นเดิม
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง(CONS)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายภาครัฐ
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
"ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบสี่เดือน อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน โดยกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากเกณฑ์ซบเซามาอยู่ที่เกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก กลุ่มบัญชีนักลงทุนรายบุคคลเพิ่มขึ้นจากเกณฑ์ซบเซามาอยู่ที่เกณฑ์ทรงตัว กลุ่มสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นจากเกณฑ์ทรงตัวมาอยู่ที่เกณฑ์ร้อนแรง ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่เกณฑ์ทรงตัวเช่นเดิม
ในช่วงเดือนมิถุนายน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเดือน จากระดับต่ำสุดช่วงต้นเดือนที่ 1622 จุด เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากสลับกับการพักตัว โดยดัชนีมาอยู่ระดับสูงสุดของเดือนที่ 1735 จุด ก่อนจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1720-1730 จุดในช่วงปลายเดือน โดยทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดคือความคาดหวังนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งจะเริ่มประกาศนโยบายในช่วงเดือนกรกฎาคม รองลงมาคือนโยบายทางการเงินของสหรัฐ แม้ว่ามีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 โดยการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศหนุนความเชื่อมั่นในลำดับรองลงมา ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและเสถียรภาพของรัฐบาลยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตามได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐภายหลังการประชุม G20 ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ภายหลังส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมทั้งลดดอกเบี้ยและทำ QE เพิ่ม นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในช่วงครึ่งหลังของปีจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันและทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางในช่องแคบฮอร์มุท เป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง"