ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. กล่าวถึงผลความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ InnoAgri ดังกล่าวว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไข่เป็นเกษตรกรไฮเทค (InnoAgri farmer) ที่สามารถนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ที่เหมาะกับยุคสมัยใช้สำหรับการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไข่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (InnoAgri Entrepreneur) ด้วย วทน.ใช้สำหรับสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตผล และเพื่อสนับสนุนการสร้างเกษตรนวัตกรรมยั่งยืน (InnoAgri Sustainability) ด้วยการสร้างชุมชนเกษตรนวัตกรรม (InnoAgri Village) ที่มีความสามารถในการนำ วทน. มาใช้เพิ่มผลิตภาพการผลิตกล้วยไข่ตลอดหัวโซ่คุณค่าที่มุ่งเน้น โดยผลลัพธ์ของโครงการในปีงบประมาณ 2562 นั้น เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิตพืช/สัตว์ร้อยละ 30มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นหรือสร้างมูลค่าของสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ชุมชนเกษตรกรรมมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
สำหรับผลความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ มีดังนี้ เกษตรกรเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาเกษตรกรไฮเทค 350 ราย เกษตรกรเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร 120 ราย ผลิตภัณฑ์ได้รับการพัฒนา/ยกระดับด้วย วทน. จำนวน 16 ผลิตภัณฑ์ ชุมชนต้นแบบการพัฒนาตลอดห่วงโซ่คุณค่า 3 แห่ง และมีการดำเนินการจัดทำสื่อองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมเกษตรเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ตามในช่วงภัยแล้งช่วงเดือนธันวาคม 2561- เดือนเมษายน 2562 และวาตภัยช่วงเดือนพฤษภาคม 2562 ได้สร้างความเสียหายแก่แปลงทดลองสาธิตกล้วยไข่ในพื้นที่ดำเนินโครงการ ได้มีการแก้ไขปัญหาโดยกลไกการบูรณาการ ได้แก่ การกำหนดปฏิทินการปลูกกล้วยให้เหมาะสมกับฤดูกาล และเผยแพร่ผลงานวิจัยการใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตเพื่อลดความสูงของกล้วยและการตัดแต่งใบกล้วยในวงกว้าง
ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ กล่าวสรุปว่า จากการดำเนินงานโครงการ วว. มีข้อเสนอแนะดังนี้ ในระดับพื้นที่ควรมีจัดแนวทางการพัฒนาการผลิตกล้วยไข่ด้วย วทน.เป็นยุทธศาสตร์เร่งด่วนของจังหวัด และในระดับนโยบายควรมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาด้านการเกษตร ควรมีระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี เนื่องจากมีภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้