ส่วนเกาหลีใต้หล่นจากอันดับ 1 ในไตรมาสที่แล้วมาอยู่ที่อันดับ 2 ร่วมกับฟินแลนด์และเยอรมนี โดยสามารถเข้าประเทศต่าง ๆ ได้ 187 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับฟินแลนด์นั้นมีอันดับดีขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายวีซ่าที่มีข้อจำกัดอย่างมากก่อนหน้านี้ของปากีสถาน ขณะนี้ ปากีสถานใช้ระบบ ETA (Electronic Travel Authority) ให้แก่ 50 ประเทศ แต่ไม่รวมสหราชอาณาจักรและสหรัฐ โดยหวังว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของประเทศ ส่วนสหราชอาณาจักร และสหรัฐอยู่ในอันดับ 6 ด้วยคะแนน 183 คะแนน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของทั้ง 2 ประเทศนับตั้งแต่ปี 2010 และอันดับลดลงอย่างมากจากที่เคยครองอันดับ 1 ในปี 2014
เดนมาร์ก อิตาลี และลักเซมเบิร์ก ครองอันดับ 3 ร่วมกัน ขณะที่ฝรั่งเศส สเปน และสวีเดน อยู่ในอันดับ 4 และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ติด 20 อันดับแรกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้มา 14 ปี โดยจำนวนประเทศที่เข้าไปได้โดยไม่ต้องวีซ่าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แต่อัฟกานิสถานยังคงรั้งท้ายในด้านการเคลื่อนย้ายทั่วโลก โดยสามารถเข้าประเทศต่าง ๆ ได้เพียง 25 ประเทศ
Brexit สหภาพยุโรป และความเชื่อมโยงระหว่างการเปิดกว้างของวีซ่ากับการปฏิรูปแบบก้าวหน้า
นับตั้งแต่จัดอันดับดัชนีนี้มา สหราชอาณาจักรติดหนึ่งในห้าอันดับแรกมาโดยตลอด แต่เนื่องจากใกล้จะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในไม่ช้านี้ สถานะที่เคยแข็งแกร่งของสหราชอาณาจักรก็ดูไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าขั้นตอนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่ออันดับของสหราชอาณาจักร แต่บทวิจัยใหม่ที่ใช้ข้อมูลในอดีตจาก Henley Passport Index บ่งชี้ว่า สิ่งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยผลภายหลังที่เกิดขึ้นอาจจะมีมากกว่าการลดลงของอิทธิพลของหนังสือเดินทาง
U?ur Altundal และ Ömer Zarpli นักวิจัยด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Syracuse University และมหาวิทยาลัย University of Pittsburgh ตามลำดับ ได้พบความเชื่อมโยงระหว่างการเปิดกว้างของวีซ่ากับการปฏิรูปแบบก้าวหน้า โดยระบุว่า "ข้อตกลงการยกเว้นวีซ่ากับสหภาพยุโรป ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านทำการปฏิรูปที่สำคัญในด้านต่าง ๆ อาทิ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หลักนิติธรรม และความมั่นคง" และตั้งข้อสังเกตว่า เสรีภาพในการเคลื่อนไหวไม่ได้ดูเหมือนว่าจะเป็นเงื่อนไขล่วงหน้าที่สำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบูรณาการทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบก้าวหน้าด้วย และเนื่องจากกระแสชาตินิยมกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น และประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐ กำลังรับนโยบายที่จำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหว บทวิจัยใหม่ฉบับนี้จึงบ่งชี้ว่า ผลกระทบที่เกี่ยวข้องต่อสิทธิทางการเมือง หลักนิติธรรม ความมั่นคง และประชาธิปไตยอาจจะรุนแรง
Dr. Christian H. Kaelin ประธาน Henley & Partners และผู้สร้างแนวคิดการจัดอันดับดัชนีหนังสือเดินทาง กล่าวว่า "บทวิจัยล่าสุดนี้ดูเหมือนจะยืนยันบางสิ่งบางอย่างที่พวกเราหลายคนต่างรู้ได้เองว่า การเปิดกว้างของวีซ่ามากขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อประชาคมโลกทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด"
ประเทศที่มีโครงการด้านการลงทุนเพื่อขอรับสัญชาติ (CBI) ยังคงมีอันดับที่ดีในการจัดอันดับดัชนีนี้ และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เหมือนกันระหว่างอิทธิพลของหนังสือเดินทางกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมอลตาอยู่ในอันดับ 7 ในขณะนี้ด้วยคะแนน 182 ตามหลังสหราชอาณาจักรและสหรัฐเพียง 1 อันดับ ส่วนไซปรัสยังคงรั้งอันดับที่ 16 ด้วยคะแนน 172 ขณะที่ประเทศแถบแคริบเบียนอย่างแอนติกาและบาร์บูดาติดอันดับที่ 29 เพิ่มขึ้น 11 อันดับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ดาวน์โหลดรายงานได้ที่ https://www.henleypassportindex.com/assets/2019/Q3/HPI%20Report%20190701.pdf
สื่อมวลชนติดต่อ:
Sarah Nicklin
Group PR Manager
อีเมล: [email protected]