บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2562 ของหุ้นบมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากปัจจัยฤดูกาลและไตรมาส1/62 ที่มีฐานสูงจากผลกระทบ PM 2.5 หลักๆ รายได้จะมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และคนไข้จากศูนย์ผู้มีบุตรยาก ( IVF) ที่มีการทำการตลาดกับชาวจีนมากขึ้นสำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 62 คาดธุรกิจมีการเติบโตราว 23% รายได้ราว 782 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะมีการเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ ซึ่งอยู่เชื่อมกับอาคารปัจจุบัน รองรับเตียงผู้ป่วยได้เพิ่มอีก 60 เตียง มีเงินลงทุน 250 ล้านบาท และ IVF ที่ตั้งเป้าทั้งปี 300 คู่ หรือเฉลี่ยเดือนละ 25 คู่ หลังเปิดศูนย์อาคารแล้ว ยังมีการปรับศูนย์ไต และเพิ่มเตียงมากขึ้น จาก 10 เตียง เป็น 24 เตียง ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลมีศูนย์แพทย์ทั้งสิ้น 17 ศูนย์ แต่ที่ทำรายได้และกำไรโดดเด่นจะมีเพียง 4 ศูนย์ คือ ฉุกเฉิน กุมารเวช และอายุรกรรม รวม 4 ศูนย์ อยู่ที่ 70% ของรายได้ที่เหลือ ยังสามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้น ด้านรายจ่ายแม้ที่การเปิดอาคารใหม่ แต่บุคคลากรที่เพิ่มขึ้นรับรู้ไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส4/62
ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึง แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท มี Upside อยู่ 22.62% จากแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตเด่นเหนือกลุ่มเป้าอุตสาหกรรม จึงเลือกให้ EKH เป็น Top Pick ของกลุ่มโรงพยาบาลขนาดเล็ก
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) ระบุถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/62 ของ EKH มีแนวโน้มลดลงเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากปัจจัยฤดูกาล (ช่วง Low Season) แต่จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงสุดในกลุ่มจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการ,การขยายศูนย์ผู้มีบุตรยาก(IVF) ที่พระราม 9 อีก 1 แห่ง ตั้งแต่เดือนพ.ย.61
ทั้งนี้คาดว่าต้นเดือน ก.ค.ศูนย์ IVF พระราม 9 จะเริ่มให้บริการแบบ One Stop Service รองรับได้สูงสุด 100 เคสต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสะดวกและประหยัดเวลาเดินทางมากขึ้น คงเป้าทั้งปี 300 เคส (25 เคส/เดือน) โดยกลางเดือน ก.ค.จะเปิดศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ทั้งหมด 60 เตียง (รวมกับปัจจุบันเป็น 146 เตียง) คาดรับรู้ค่าเสื่อมปีละ 15 ล้านบาท แต่ไม่ได้กดดันผลประกอบการมาก เนื่องจากครึ่งหลังปี 62 เป็นช่วง High Seasonประกอบกับมีฐานคนไข้เด็กที่เข้าใช้บริการอยู่แล้วจำนวนมาก
ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับประมาณการกำไรทั้งปีขึ้น 20% เป็น 154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยังคงแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 8.40 บาท