สำหรับภาพรวมธุรกิจสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลง สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียว กับเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสองพบว่า การลงทุนเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลังใหม่ของผู้บริโภคชะลอตัวชัดเจน หากเปรียบเทียบกับสองไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งสะท้อนให้รู้ว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวลดลง ตามทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง
ภาพรวมการแข่งขันธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งแรกปี '62
อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคและประชาชนแนวโน้มชะลอตัว หากแต่ผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้าน ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด กลับแข่งขันกันไม่รุนแรงเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ สมาคมฯ ประเมินว่า 1.จำนวนผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านลดลง 2.ปัญหาขาดแคลนแรงงานและต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดเวลา และ 3.แรงกดดันจากผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าและบริการคุณภาพสูง ซึ่งจำนวนผู้ประกอบการที่ลดลงหรือหายออกไปจากธุรกิจนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เรื่องขาดแคลนแรงงานยังคงเป็นปัญหาอมตะที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงมาก ขณะเดียวกันการตอบสนองความต้องการผู้บริโภคก็มีแรงกดดันสูง หากคุณภาพสินค้าและบริการไม่เป็นที่พึงพอใจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น ในยุคสังคมออนไลน์ปัจจุบัน
ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ ยังคงมีการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยหันมาเลือกใช้การตลาดในรูปแบบของอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง เช่น การออกบูธงานแสดงสินค้า ออกบูธตามห้างสรรพสินค้าชานเมือง และใช้สื่อโซเชียลมีเดียควบคู่กัน ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก โดยเฉพาะที่แข่งขันอยู่ในต่างจังหวัดจะใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นหลัก เพราะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและเลือกสื่อสารเฉพาะกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ให้บริการเท่านั้น
ทิศทางและแนวโน้มมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรก-หลัง
แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง สมาคมฯ ประเมินว่าความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อผู้บริโภคครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หากการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นไปในด้านบวก ภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็น่าจะขยายตัวและส่งผลดีต่อประเทศไทย ทั้งในด้านการส่งออกและการท่องเที่ยว ตลอดจนการปรับตัวของผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้าน ต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้บริการ มีความเชี่ยวชาญ และมีความเป็นมืออาชีพที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงตามความต้องการมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังเป็นกังวลก็คือ ภาคการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาล ที่อาจฉุดความเชื่อมั่นกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว
ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้ปรับลดตัวเลขมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านบ้านลงเล็กน้อย จากเดิม 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 1.4-1.6 หมื่นล้านบาท อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรก กอปรกับในครึ่งปีหลังภาคธุรกิจเองมีแนวโน้มชะลอการลงทุนและผู้ประกอบการหลายราย (รายเดิม) เลิกกิจการ อย่างไรก็ดี ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย. 62) สมาคมฯ ประเมินว่ากลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านมีแชร์ส่วนแบ่งตลาดแล้วประมาณ 7 พันล้านบาทเศษ
โอกาสและการปรับตัว
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association) โดยนายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคม เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขยายและเติบโตได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยหลัก ๆ เกิดจากความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจโลกและของภายในประเทศ ภาคการส่งออกที่ไม่มีขยายตัว และภาคท่องเที่ยวมีตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลงจากที่ประเมินไว้ รวมถึงสภาพปัญหาการเมืองภายหลังมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แล้ว พบว่าบรรดาพรรคการเมืองมีการต่อรองผลประโยชน์ในการเข้าร่วมและแย่งชิงกัน จัดตั้งรัฐบาลแบบไม่เกรงใจประชาชน
สำหรับแนวโน้มและทิศทางตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง ประเมินว่ามีทั้งโอกาสและความเสี่ยงพอ ๆ กัน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ที่ต้องลุ้นและติดตามว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะเป็นไปในทิศทางใด ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรติดตามและเฝ้าระวัง พร้อมเร่งหาทางปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีมากพอในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเลือกสร้างบ้าน กับผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญจริงและน่าเชื่อถือสูง สามารถให้บริการและตอบสนองได้ตรงตามความต้องการ ทั้งการให้บริการสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ที่สำคัญคือ ราคาสมเหตุสมผลหรือราคากับคุณภาพสอดคล้องกัน
ในส่วนของสภาพการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินว่าจะกลับมาแข่งขันกันดุเดือดอีกครั้ง โดยมีกลุ่มผู้นำตลาดที่สร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป ได้แก่ กลุ่มซีคอนโฮม เอสซีจีไฮม์ พีดีเฮ้าส์ ฯลฯ ซึ่งยังต้องการขยายกำลังการผลิตและแชร์ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มนี้สามารถสร้างบ้านได้รวดเร็ว ควบคุมคุณภาพได้แม่นยำกว่า และใช้แรงงานคนจำนวนน้อย จึงมีความได้เปรียบผู้ประกอบการทั่ว ๆ ไป ที่ประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนและมีข้อจำกัดอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดของตัวเอง
นายสิทธิพร กล่าวเพิ่มว่า สำหรับในปี 2561 และช่วงครึ่งแรกปี 2562 ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่สมาคมฯ รวบรวมไว้ที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคที่ใช้บริการสร้างบ้านกับสมาชิกสมาคมฯ ต้องการกู้เงินหรือขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้าน มีสัดส่วนสูงถึง 44% และ 41% ตามลำดับ จากปกติมีสัดส่วนขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 30-36% ถือเป็นสัดส่วนการขอสินเชื่อปลูกสร้างบ้านที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปีของกลุ่มสมาชิกสมาคมฯ และจากจำนวนผู้ขอสินเชื่อทั้งหมด 82% เลือกจะปลูกสร้างบ้านในต่างจังหวัด ที่เหลืออีก 18% ปลูกสร้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวอาจมีนัยสำคัญ ในแง่การปรับตัวของผู้ประกอบการและธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจและตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง มีความเสี่ยงและโอกาสพอ ๆ กัน ดังนั้นการขยายสู่กำลังซื้อและกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ